Saturday, September 28, 2013

Learn Dhamma

เรียนธรรมะ

เรียนธรรมะ อย่าตะกละ ให้เกินเหตุ
จะเป็นเปรต หิวปราชญ์ เกิดคาดหวัง
อย่าเรียนอย่าง ปรัชญา มัวบ้าดัง
เรียนกระทั่ง ตายเปล่า ไม่เข้ารอย

เรียนธรรมะ ต้องเรียน อย่างธรรมะ
เรียนเพื่อละ ทุกข์ใหญ่ ไม่ท้อถอย
เรียนที่ทุกข์ ที่มีจริง ยิ่งเข้ารอย
ไม่เลื่อนลอย มองให้เห็น ตามเป็นจริง

ต้องตั้งตน การเรียน ที่หูตา ฯลฯ
สัมผัสแล้ว เกิดเวทนา ตัณหาวิ่ง
ขึ้นมาอยาก เกิดผู้อยาก เป็นปากปลิง
“เรียนรู้ยิง ตัณหาดับ นับว่าพอ” ฯ

-- พุทธทาสภิกขุ


... via หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ

Thursday, September 26, 2013

If you were born a Human, What would you do?

เมื่อได้ยินคำถามว่า ...
“ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ อยากจะทำอะไร?” 
เทวดา ตอบว่า … 
"เราจะพิจารณาธรรม เพราะมนุษย์มีกายสังขาร ที่เหมาะกับการพิจารณาธรรมมาก ร่างกายของมนุษย์เป็นเครื่องมือที่ใช้พิจารณาธรรมได้ดีที่สุด น่าอิจฉาพวกมนุษย์จริงๆ" 
พญานาค ตอบว่า … 
"บวชสิ ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ ข้าจะบวช เป็นพญานาคมีฤทธิ์ก็จริง แต่บวชไม่ได้ พ้นทุกข์ไม่ได้ ไม่เหมือนมนุษย์ พระพุทธเจ้าอนุญาตให้มนุษย์บวช มนุษย์ไปนิพพานได้" 
พระภูมิเจ้าที่ ตอบว่า ... 
"ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง คราวนี้ข้าจะไปทำบุญใส่บาตรทุกวัน ไม่ต้องมานั่งรอคนอุทิศส่วนกุศลให้อีก ไปทำเองเลย เพิ่มบารมีได้เร็วทันใจดี" 
สัตว์เดรฉาน ตอบว่า ... 
"ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ ข้าจะสงเคราะห์สัตว์ตัวอื่นๆ เป็นสัตว์นั้นทุกข์มาก พูดก็ไม่ได้ คิดอะไรฉลาดๆ ก็ไม่ได้ เป็นมนุษย์มีสมอง มีปัญญา ข้าจะใช้ปัญญาของมนุษย์ทำให้ตัวเองไม่ต้องมาเป็นสัตว์อีก" 
เปรต ตอบว่า ... 
"ข้าไม่อยากมีหน้าตาน่าเกลียด ไม่อยากมีปากเท่ารูเข็ม มีรูปร่างสูงเหมือนต้นตาล ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ ข้าจะถือศีล จะได้ไม่ต้องมาเป็นเปรตผู้หิวโหย อดๆ ยากๆ ทนทุกข์ทรมานแบบนี้" 
วิญญาณในนรก ตอบว่า ... 
"ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ ข้าจะทำความดี จะไม่ผิดศีลอีก จะปฏิบัติธรรม เพราะนรกมันร้อน มันโหดร้าย อยู่แล้วมีแต่ความเจ็บปวด ทุรนทุราย ถ้าข้ามีโอกาสอีกครั้ง ข้าจะไม่ทำเลว ข้าไม่อยากทรมาน ไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นสัตว์นรกอีก" 
แต่เมื่อถามคำถามเดียวกันกับมนุษย์ ...
“ถ้าได้เกิดเป็น มนุษย์อยากจะทำอะไร?“ 
มนุษย์ กลับตอบว่า ... 
"ฉันอยากรวย!!!!" 
ตอนเป็นมนุษย์ พออยากรวยอย่างเดียวเลยมักทำผิดศีลธรรม
พอตายไป ก็ต้องย้อนกลับไปเป็น สัตว์นรกบ้าง เปรตบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง
พอพ้นกรรม ได้โอกาสกลับมาเป็นมนุษย์ ส่วนใหญ่ก็จะลืมความตั้งใจที่ดี ๆ
เผลอหรือหลงไปทำผิดอีก กลายเป็นวงจรอุบาทว์ซ้ำซากในวัฏสงสาร ..

มนุษย์ทั้งหลายพึงสังวรระวังไว้ให้ดี ...

Friday, September 20, 2013

The Joymaker

เครื่องสังเคราะห์ความสุข (The Joymaker)
ที่คุณยัง “ไม่มี” ความสุข
เพราะคุณยัง “ไม่เข้าใจ” ความสุข
แม้เราจะได้ยินคำว่า “ความสุขอยู่ที่ใจ” กันมาบ่อยครั้ง แต่จริงๆแล้วเราเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งของคำๆนี้ ดีแค่ไหนกัน …

ในสมองของมนุษย์ทุกคนมีสารสื่อประสาท (neurotransmitter) อยู่ 4 ชนิด ที่เมื่อหลั่งออกมาแล้วจะทำให้เรารู้สึกมีความสุข คือ
  1. โดพามีน (dopamine) 
  2. เซโรโทนิน (serotonin) 
  3. ออกซิโทซิน (oxytocin) 
  4. เอ็นดอร์ฟิน(endorphine) 
สารแห่งความสุขทั้งสี่ตัวนี้จะทำงานร่วมกันเสมอ โดยการทำงานของสารแต่ละตัวจะสามารถอธิบายโดยย่อ รวบยอด ได้ดังนี้ …

1. โดพามีน (สารสำเร็จ) จะพรั่งพรูออกมามากเมื่อเราได้รับในสิ่งที่ต้องการ และเมื่อความอยากได้รับการตอบสนอง เช่น อยากกินชีสเค้กแล้วได้กิน อยากได้หอมแก้มคนๆหนึ่งแล้วได้หอม อยากแข่งขันได้ที่หนึ่งแล้วทำได้สำเร็จ ฯลฯ

2. เซโรโทนิน (สารสงบ) จะพรั่งพรูออกมามากเมื่อเรากำลังรู้สึกสงบ สบาย และผ่อนคลาย เช่น เมื่อเรากำลังนั่งสมาธิ เมื่อเรากำลังนอนฟังเพลงที่ชอบ เมื่อเรากำลังเอนกายบนโซฟาที่นุ่มสบาย ฯลฯ

3. ออกซิโทซิน (สารสัมพันธ์) จะพรั่งพรูออกมาเมื่อเรากำลังมีความรัก เมื่อได้ยินเสียงคนรัก ได้อยู่ใกล้คนรัก หรือได้สัมผัสคนรัก และจะหลั่งออกมามากเป็นพิเศษในแม่ที่เพิ่งคลอดบุตร โดยออกซิโทซินจะหลั่งออกมาทั้งในความรักแบบหนุ่มสาว แบบครอบครัว และแบบเพื่อนที่มีความผูกพันกันมาก โดยสารออกซิโทซินจะทำให้เรารู้สึกสบายใจ ปลอดภัย และอบอุ่น

4. เอ็นดอร์ฟิน (สารสำราญ) จะพรั่งพรูออกมาทุกครั้งที่เรากำลังรู้สึกมีความสุข ดังนั้นสารเอ็นดอร์ฟินจึงหลั่งออกมาพร้อมๆกับโดพามีน เซโรโทนิน และออกซิโทซิน นอกจากนั้น เอ็นดอร์ฟินจะหลั่งออกมามากเป็นพิเศษตอนที่เราออกกำลังกาย หัวเราะ หรือยิ้ม โดยเอ็นดอร์ฟินจะทำหน้าที่เป็นยาแก้ปวดจากธรรมชาติ (natural pain-killer/morphine from nature) ดังนั้น เวลาเรากำลังมีความสุข เราจึงรู้สึกเจ็บปวดน้อยลงทั้งทางร่างกายและจิตใจ บาดแผล ความเมื่อยล้า และความทรงจำที่ไม่ดี สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะทำอันตรายอะไรเราไม่ได้เลยในขณะที่เรากำลังมีความสุข

การท่องจำความเหมือนหรือความแตกต่างของสารแห่งความสุขทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งสำคัญ (เพราะจะไม่มีการสอบเก็บคะแนนปลายภาค) แต่สิ่งสำคัญคือการตระหนักรู้ว่าสารทั้งสี่ตัวนี้ ไม่ได้มีอยู่ในสิ่งของใดๆทั้งสิ้น แต่มันมีอยู่อย่างเต็มล้นในสมองของเราเอง …
  • ในแบงค์พันไม่มีสาร dopamine 
  • เก้าอี้ที่นุ่มที่สุดในโลกไม่ได้ฉาบทาไปด้วยสาร serotonin 
  • เสียงของคนที่เรารักไม่ได้บรรจุเอาไว้ซึ่งสาร oxytocin 
  • และไม่มีอาหารชนิดใดในโลกนี้ที่ใส่สาร endorphine 
  • … ความสุขทั้งหมด สมองของเราเป็นตัวสังเคราะห์ขึ้นมาเอง …

ทุกสิ่งที่อยู่ภายนอกตัวเรา ทำหน้าที่เพียง “กระตุ้น” สารความสุขในตัวเราให้หลั่งออกมา แต่สรรพสิ่งในตัวของมันเองไม่ได้มีสารแห่งความสุขใดๆสลักฝังมากับมัน
  • แบงค์พันเป็นเพียงเศษกระดาษน่ารำคาญ สำหรับเศรษฐีพันล้านที่ไม่เห็นคุณค่าของเงิน
  • เก้าอี้ที่นุ่มที่สุดในโลกคือความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน สำหรับคนที่เป็นริดสีดวงทวารเม็ดเบ้อเริ่ม
  • เสียงของคนรักคือความโศกเศร้าอันแสนสาหัส ถ้าเจ้าของเสียงได้ลาจากโลกนี้ไปแล้ว
  • และอาหารที่อร่อยที่สุดในโลกก็คือยาพิษที่น่าสะพรึงกลัว ถ้าผู้กินเกิดแพ้มัน

สรรพสิ่ง ≠ ความสุข
สรรพสิ่ง + การปรุงแต่ง = ความสุข

สิ่งต่างๆไร้ความหมายและไร้ความสุขในตัวของมันเอง แต่ใจเราสังเคราะห์ความสุขขึ้นมาจากค่านิยม การตีความ ประสบการณ์ ความรู้สึก (เวทนา) ความทรงจำ (สัญญา) และการปรุงแต่ง (สังขาร)

ตั้งแต่เล็กจนโต เราปล่อยให้จิตใต้สำนึกทำหน้าที่สังเคราะห์ความสุขจากสิ่งต่างๆโดยอัตโนมัติ และผลของมันก็มักไม่ได้เป็นอย่างที่เราต้องการ และการที่มนุษย์พยายามแสวงหาความสุขจากสิ่งที่ไม่มีความสุขอยู่ในตัวของมันนี่เอง ที่ทำให้มีผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนที่แม้จะดัง รวย สวย และเก่ง แต่ก็ยังคงมีความทุกข์มากกว่าขอทานที่นอนห่มผ้าเช็ดตัวขาดๆอยู่ใต้สะพานลอย
  • ถ้าความดังให้ความสุข คงไม่มีดาราหน้าบึ้ง
  • ถ้าความรวยให้ความสุข คงไม่มีเศรษฐีร้องไห้
  • ถ้าความสวยให้ความสุข คงไม่มีคนหน้าตาดีฆ่าตัวตาย
  • ถ้าเนื้อคู่ให้ความสุข คงไม่มีคนทุกข์หลังแต่งงาน

มนุษย์ฝากสิ่งอื่นให้ช่วยสังเคราะห์ความสุขให้ ตั้งแต่สิ่งของ เงินทอง ความโด่งดัง คำชื่นชม สภาพอากาศ การจราจร ตำแหน่ง หน้าที่ ล็อตเตอรี่ แฟน พ่อ แม่ ลูก หัวหน้า ลูกน้อง พรรคการเมือง นักการเมือง หนัง ละคร เฟซบุ๊ค เกมในเฟซบุ๊ค ฯลฯ แต่เมื่อเรารู้สึกว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่อาจสังเคราะห์ความสุขได้อย่างที่ใจเราต้องการ (อีกต่อไป) เราจึงเริ่มรู้สึกหงุดหงิด เบื่อ เครียด โกรธ เซ็ง เศร้า และหลายครั้งเราก็จะโทษโลก โทษสังคม โทษคนอื่น โทษตัวเอง โทษโชคชะตา หรือโทษกรรมที่ทำให้เราต้องเป็นทุกข์

ตามกฎไตรลักษณ์ซึ่งเป็นกฎเหล็กของจักรวาล
  • ไม่มีสิ่งใดเที่ยง (อนิจจัง)
  • ไม่มีสิ่งใดทน (ทุกขัง)
  • และไม่มีสิ่งใดแท้ (อนัตตา)
ดังนั้น เมื่อเราฝากความหวังให้สิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่แท้ และไม่ทนมาสังเคราะห์ความสุขให้ เราก็ย่อมต้องผิดหวังและรู้สึกทุกข์ใจเป็นธรรมดา

เราทำตัวประหนึ่งเศรษฐีหมื่นล้านที่ปฏิญาณตนว่าจะไม่มีความสุขจนกว่าจะแทงหวยถูก ซึ่งก็หมายความว่า เรามีความสุขพร้อมอยู่แล้วในตัวอย่างมากมายมหาศาล เพราะตัวของเราคือแหล่งผลิตความสุขแหล่งเดียวในจักรวาล แต่เรากลับตั้งเงื่อนไขในการมีความสุขขึ้นมาเอง โดยเอามันไปฝากไว้กับสิ่งของ (และผู้คน) ที่ไม่มีความแน่นอน…

ทั้งหมดนี้หมายความว่าอย่างไร … หมายความว่าเราควรจะหยุดการตามล่าฝันและสรรหาทุกอย่าง แล้วนั่งนิ่งๆเพื่อสังเคราะห์ความสุขด้วยตัวเองไปจนเหี่ยวแห้งตายใช่ไหม …

เปล่าเลย แต่มันหมายความว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน เป็นใคร หรือทำอะไรอยู่ จริงๆแล้วในตัวพวกเราทุกคน “มีความสุข” ซุกซ่อนอยู่ตลอดเวลา แต่อยู่ที่ว่าเราจะ “รู้วิธี” สังเคราะห์มันขึ้นมาเองได้หรือเปล่า

ซึ่งวิธีแรกในการสังเคราะห์ความสุข คือการเริ่ม “ขอบคุณในสิ่งที่มี” และ “ยินดีในสิ่งที่ได้” ไม่ใช่เอาแต่ “ทุรนทุรายไปกับสิ่งที่ขาด” เพราะการลองมองสองข้างทางเพื่อเก็บเกี่ยวความสุข ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะต้องหยุดเดินเสียหน่อย จริงไหมครับ…

แต่ถ้าถามว่าในโลกนี้จะมีใครสอนวิชา “สังเคราะห์ความสุข” อย่างจริงจังให้กับเราได้บ้าง เพราะมันช่างเป็นศาสตร์ที่น่าศึกษาเสียเหลือเกิน ก็เห็นจะมีอยู่ปรมาจารย์อยู่องค์หนึ่งครับ ท่านทรงเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในนาม …

“พระพุทธเจ้า”

และถ้าเราอยากพบกับท่าน ก็ไม่ต้องเดินทางไปไกลถึงอินเดียหรือเสียตังค์ซื้อเครื่องย้อนเวลานะครับ เพราะถ้าผมจำไม่ผิด ปรมาจารย์ท่านนี้เคยตรัสสอนลูกศิษย์เอาไว้ประโยคหนึ่งว่า …
โย ธมฺมํ ปสฺสติ โส มํ ปสฺสติ
“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา…”
Maybe happiness is not something we have to pursue,
but it is something in front of us which we cannot see.
- K.S. Khunkhao 
“บางทีความสุขอาจไม่ใช่สิ่งที่เราต้องตามหา
ทว่ามันคือสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แต่เรายังมองไม่เห็น”
- ขุนเขา

... Credit - ขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร (Khunkhao Sindhusen Khaejornbut)
... via @ http://www.dhamdee.com/?p=5526

Tuesday, September 17, 2013

From Womb to Tomb



» คุณภาพชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน 
» บทความทรงคุณค่า โดย ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์

บทความนี้เป็นหนึ่งในบทความที่มีการคัดลอกและถ่ายทอดมากที่สุดในสังคมไทย เป็นข้อเขียนเกี่ยวกับ `ความต้องการพื้นฐานในชีวิต´ ซึ่งได้รับการตีความว่า...เป็นข้อเรียกร้อง `รัฐสวัสดิการ´ มีเนื้อหาหลักเกี่ยวกับหลักประกันสังคมและคุณภาพชีวิตพื้นฐานที่คนคนหนึ่งพึงมี

ข้อเขียนนี้เดิมเป็นภาษาอังกฤษ ถูกนำเสนอในที่ประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาการพัฒนาเอเชียตะวันออกไกล (Southeast Asian Development Advisory Group - SEADAG) เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2516

ก่อนจะตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ฉบับวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ในชื่อ ... The Quality of Life of a South East Asian : A Chronical of Hope from Womb to Tomb (ต่อมารู้จักกันในชื่อ From Womb to Tomb) และภายหลังถูกแปลเป็นภาษาไทยในชื่อ "คุณภาพแห่งชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน" หรือที่รู้จักกันดีในเวลาต่อมาในชื่อ "จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน"

----------------------------------------

The Quality of Life of a South East Asian : 
A Chronical of Hope from Womb to Tomb

เมื่อผมอยู่ในครรภ์ของแม่ ผมต้องการให้แม่ได้รับประทานอาหารที่เป็นคุณประโยชน์ และได้รับความเอาใจใส่ และบริการอันดีในเรื่องสวัสดิภาพของแม่และเด็ก

ผมไม่ต้องการมีพี่น้องมากอย่างที่พ่อแม่ผมมีอยู่ และแม่จะต้องไม่มีลูกถี่นัก

พ่อกับแม่จะแต่งงานกันถูกกฎหมาย หรือธรรมเนียมประเพณีหรือไม่ ไม่สำคัญ แต่สำคัญที่ พ่อกับแม่ต้องอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข ทำความอบอุ่นให้ผมและพี่น้อง

ในระหว่าง 2-3 ขวบแรกของผม ซึ่งร่างกายและสมองผมกำลังเติบโตในระยะที่สำคัญ ผมต้องการให้แม่ผมกับตัวผม ได้รับประทานอาหารที่เป็นคุณประโยชน์

ผมต้องการไปโรงเรียน พี่สาวหรือน้องสาวผมก็ต้องการไปโรงเรียน จะได้มีความรู้หากินได้ และจะได้ รู้คุณธรรมแห่งชีวิต

ถ้าผมมีสติปัญญาเรียนชั้นสูง ๆ ขึ้นไป ก็ให้มีโอกาสเรียนได้ ไม่ว่าพ่อแม่ผมจะรวย หรือจน จะอยู่ในเมืองหรือชนบทแร้นแค้น

----------------------------------------

เมื่อออกจากโรงเรียนแล้ว ผมต้องการงานอาชีพที่มีความหมาย ทำให้ได้รับความพอใจว่า ตนได้ทำงานเป็นประโยชน์แก่สังคม

บ้านเมืองที่ผมอาศัยอยู่จะต้องมีขื่อ มีแป ไม่มีการข่มขู่ กดขี่ หรือประทุษร้ายกัน

ประเทศของผมควรจะมีความสัมพันธ์อันชอบธรรม และเป็นประโยชน์กับโลกภายนอก

ผมจะได้มีโอกาสเรียนรู้ถึงความคิด และวิชาของมนุษย์ทั้งโลก และประเทศของผมจะได้มีโอกาส รับเงินทุนจากต่างประเทศ มาใช้เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม

ผมต้องการให้ชาติของผมได้ขายผลิตผลแก่ต่างประเทศด้วยราคาอันเป็นธรรม

----------------------------------------

ในฐานะที่ผมเป็นชาวไร่ชาวนา ผมก็อยากมีที่ดินของผมพอสมควรสำหรับทำมาหากิน มีช่องทางได้กู้ยืมเงินมาขยายงาน มีโอกาสรู้วิธีการทำกินแบบใหม่ ๆ มีตลาดดี และขายสินค้าได้ราคายุติธรรม

ในฐานะที่ผมเป็นกรรมกร ผมก็ควรจะมีหุ้นมีส่วนในโรงงาน บริษัท ห้างร้านที่ผมทำอยู่

ในฐานะที่ผมเป็นมนุษย์ ผมก็ต้องการอ่านหนังสือพิมพ์ และหนังสืออื่น ๆ ที่ไม่แพงนัก จะฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ ก็ได้โดยไม่ต้องทนรบกวนจากการโฆษณามากนัก

----------------------------------------

ผมต้องการสุขภาพอนามัยอันดี และรัฐบาลจะต้องให้บริการป้องกันโรคแก่ผมฟรี กับบริการการแพทย์ รักษาพยาบาลอย่างถูกอย่างดี เจ็บป่วยเมื่อใดหาหมอพยาบาลได้สะดวก

ผมจำเป็นต้องมีเวลาว่างสำหรับเพลิดเพลินกับครอบครัว มีสวนสาธารณะที่เขียวชอุ่ม สามารถมีบทบาท และชมศิลปะ วรรณคดี นาฏศิลป์ ดนตรี วัฒนธรรมต่าง ๆ เที่ยวงานวัน งานลอยกระทง งานนักขัตฤกษ์ งานกุศลอะไรก็ได้พอสมควร

ผมต้องการอากาศบริสุทธิ์สำหรับหายใจ น้ำดื่มบริสุทธิ์สำหรับดื่ม

เรื่องอะไรที่ผมทำเองไม่ได้ หรือได้แต่ไม่ดี ผมก็จะขอความร่วมมือกับเพื่อนฝูงในรูปสหกรณ์ หรือ สโมสร หรือสหภาพ จะได้ช่วยซึ่งกันและกัน

----------------------------------------

เรื่องที่ผมจะเรียกร้องข้างต้นนี้ ผมไม่เรียกร้องเปล่า ผมยินดีเสียภาษีอากรให้ส่วนรวมตามอัตภาพ

ผมต้องการโอกาสที่มีส่วนในสังคมรอบตัวผม ต้องการมีส่วนในการวินิจฉัยโชคชะตาทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของชาติ

เมียผมก็ต้องการโอกาสต่าง ๆ เช่นเดียวกับผม และเราสองคนควรจะได้รับความรู้และวิธีการวางแผนครอบครัว

เมื่อแก่ ผมและเมียก็ควรได้ประโยชน์ตอบแทนจากการประกันสังคม ซึ่งผมได้จ่ายบำรุงตลอดมา

----------------------------------------

เมื่อจะตาย ก็ขออย่าให้ตายอย่างโง่ ๆ อย่างบ้า ๆ คือตายในสงครามที่คนอื่นก่อให้เกิดขึ้น ตายในสงครามกลางเมือง ตายเพราะอุบัติเหตุรถยนต์ ตายเพราะน้ำหรืออากาศเป็นพิษ หรือตายเพราะการเมืองเป็นพิษ

เมื่อตายแล้ว ยังมีทรัพย์สมบัติเหลืออยู่ เก็บไว้ให้เมียผมพอใจในชีวิตของเธอ ถ้าลูกยังเล็กอยู่ก็เก็บไว้ เลี้ยงให้โต แต่ลูกที่โตแล้วไม่ให้ นอกนั้นรัฐบาลควรเก็บไปหมด จะได้ใช้เป็นประโยชน์ในการบำรุงชีวิตของคนอื่น ๆ บ้าง

ตายแล้ว เผาผมเถิด อย่าฝัง คนอื่นจะได้มีที่ดินอาศัยและทำกิน และอย่าทำพิธีรีตอง ในงานศพให้วุ่นวายไป

----------------------------------------

นี่แหละคือความหมายของชีวิต...

นี่แหละคือการพัฒนาที่จะควรให้เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ของทุกคน

สุดท้ายนี้ ขอขอบพระคุณท่านทั้งหลายที่อุตส่าห์อ่านมาจนจบ ขอความสุขสวัสดีและสันติสุข จงเป็นของท่านทั้งหลาย และพระท่านกล่าวไว้ดังนี้เกี่ยวกับความสวัสดี

"เราตถาคตไม่เห็นความสวัสดีอื่นใดของสัตว์ทั้งหลาย นอกจากปัญญา เรื่องตรัสรู้ ความเพียร ความสำเร็จอินทรีย์ และความเสียสละ"

----------------------------------------

... Credit : ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ - From Womb to Tomb
... via Life 101 Page

Monday, September 16, 2013

The 10 Commandments of the Mafia Godfather

องค์กรมาเฟีย เป็นองค์กรอาชญากรรมถือกำเนิดขึ้นในประเทศอิตาลี สมาชิกขององค์กรจะเริ่มจากคนในครอบครัว แล้วขยายเครือข่ายไปถึงญาติมิตร ร่วมกันกระทำผิดกฎหมาย เพื่อหาประโยชน์อันเป็นทรัพย์สินเข้าสู่องค์กรด้วยวิธีการเรียกค่าคุ้มครอง ค้าโสเภณี ค้าของเถื่อน สุราและยาเสพติด เป็นต้น

มาเฟียสร้างอิทธิพลในท้องถิ่นก่อน แล้วขยายเครือข่ายเข้าสู่เมืองใหญ่ๆ จนลุกลามข้ามจากประเทศอิตาลี ไปถึงประเทศสหรัฐอเมริกา เริ่มที่มหานครนิวยอร์ก และเมื่อองค์กรมีสมาชิกมากขึ้น จึงต้องกำหนดคุณสมบัติของสมาชิกไว้เป็น “บทบัญญัติ 10 ประการ” เพื่อให้สมาชิกยึดถือไว้เป็นเกียรติว่า “จะต้องมีสัจจะในหมู่โจร

บัญญัติ 10 ประการ ที่เจ้าพ่อมาเฟีย นามว่า Salvatore Lo Piccolo เป็นผู้บัญญัติ ตามที่ Wikipedia ระบุไว้มีดังนี้

บทบัญญัติ 10 ประการ ของเจ้าพ่อมาเฟีย 
  1. ห้ามเปิดเผยตัวตนกับศัตรู มันเป็นกิจที่บุคคลที่สามพึงกระทำ
  2. อย่าสนใจภรรยาของเพื่อน
  3. อย่าให้ตำรวจจับได้
  4. ห้ามไปเที่ยวผับและคลับ
  5. พึงระลึกเสมอว่า การเป็นมาเฟียต้องเรียกใช้งานได้เสมอ แม้ว่าภรรยาของตนจะต้องคลอดลูกก็ตาม
  6. ตำแหน่งเป็นสิ่งที่พึงเคารพ
  7. ภรรยาต้องได้รับการดูแลด้วยความเคารพ
  8. หากถูกถามต้องตอบแต่ความจริงเท่านั้น
  9. เงินของผู้อื่นหรือครอบครัวของผู้อื่น ห้ามนำไปใช้เป็นการส่วนตัว
  10. คนที่เกี่ยวข้องกับตำรวจ คนที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อครอบครัว คนเลวที่ไม่มีศีลธรรมรวมไปถึงคนรักร่วมเพศ ห้ามเข้ากลุ่มมาเฟียโดยเด็ดขาด
บทบัญญัติ 10 ประการ ได้สร้างความเข้มแข็งให้แก่องค์กรถึงขนาดขยายอิทธิพลด้วยการใช้อำนาจเงินซื้อตำรวจ อัยการ และผู้พิพากษาบางคนไว้ได้ แต่ในที่สุดก็ต้องถูกต่อต้านปราบปรามจากรัฐบาล เจ้าพ่อมาเฟีย และบรรดาสมาชิกถูกจับเข้าคุกเพราะจนด้วยหลักฐาน บ้างก็ฆ่ากันเองเพราะแย่งชิงผลประโยชน์ บางรายก็ถูกเจ้าพ่อมาเฟียสั่งฆ่าเพราะขัดบทบัญญัติขององค์กร มาเฟียหลายคนถูกวิสามัญฆาตกรรมเพราะบ้านเมืองยังมีเจ้าหน้าที่ที่ซื่อสัตย์ เอาจริงเอาจัง ไม่ยอมตกเป็นทาสรับจ้างโจร

เรียบเรียงและตัดเนื้อหาบางส่วนมาจาก แนวหน้า

Sunday, September 15, 2013

Bill Gates' 11 Rules of Life

Netlore Archive: Circulating via email, the text of a speech allegedly given by Bill Gates in which he sets out 11 rules for life that kids won't learn in school.


BILL GATES' SPEECH TO MT. WHITNEY HIGH SCHOOL in Visalia, California.

Love him or hate him, he sure hits the nail on the head with this!

To anyone with kids of any age, here's some advice. Bill Gates recently gave a speech at a High School about 11 things they did not and will not learn in school. He talks about how feel-good, politically correct teachings created a generation of kids with no concept of reality and how this concept set them up for failure in the real world.
  • Rule 1: Life is not fair -- get used to it!
  • Rule 2: The world won't care about your self-esteem. The world will expect you to accomplish something BEFORE you feel good about yourself.
  • Rule 3: You will NOT make $60,000 a year right out of high school. You won't be a vice-president with a car phone until you earn both.
  • Rule 4: If you think your teacher is tough, wait till you get a boss. He doesn't have tenure.
  • Rule 5: Flipping burgers is not beneath your dignity. Your Grandparents had a different word for burger flipping -- they called it opportunity.
  • Rule 6: If you mess up, it's not your parents' fault, so don't whine about your mistakes, learn from them.
  • Rule 7: Before you were born, your parents weren't as boring as they are now. They got that way from paying your bills, cleaning your clothes and listening to you talk about how cool you thought you are. So before you save the rain forest from the parasites of your parent's generation, try "delousing" the closet in your own room.
  • Rule 8: Your school may have done away with winners and losers, but life HAS NOT. In some schools they have abolished failing grades and they'll give you as MANY TIMES as you want to get the right answer. This doesn't bear the slightest resemblance to ANYTHING in real life.
  • Rule 9: Life is not divided into semesters. You don't get summers off and very few employers are interested in helping you FIND YOURSELF. Do that on your own time.
  • Rule 10: Television is NOT real life. In real life people actually have to leave the coffee shop and go to jobs.
  • Rule 11: Be nice to nerds. Chances are you'll end up working for one.

... via About.com



[11 เรื่องที่โรงเรียนไม่ได้สอน โดย บิลล์ เกตส์] จากหนังสือ Forbes Billionaires ไอดอลนักล่าฝัน เศรษฐีพันล้าน
  • กฎข้อที่ 1 : ชีวิตนี้ไม่ยุติธรรมนักหรอก ทำความเคยชินกับมันซะเถอะ
  • กฎข้อที่ 2 : โลกไม่สนใจหรอก ว่าคุณจะมั่นใจในตัวเองแค่ไหน แต่โลกนี้คาดหวัง ‘ความสำเร็จ’ ที่เกิดจากความมั่นใจของคุณต่างหาก
  • กฎข้อที่ 3 : ไม่มีทางที่คุณจะทำเงินได้ปีละ 60,000 เหรียญ (เกือบ 2 ล้าน) ทันทีที่เพิ่งจบมัธยม และ ก็อย่าหวังเลยว่าจะได้เป็นประธานบริษัทที่มีรถประจำตำแหน่งพร้อมโทรศัพท์ใน รถส่วนตัวด้วย
  • กฎข้อที่ 4 : ถ้าคุณคิดว่า อาจารย์กำลังสอนบทเรียนอันน่าเบื่อ ลองไปทำงาน แล้วเจอกับเจ้านายสิ
  • กฎข้อที่ 5 : การคิดคำแสลงใหม่ ๆ ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะปู่ย่าตายายของคุณก็เคยทำมาก่อน
  • กฎข้อที่ 6 : ชีวิตที่ยุ่งเหยิงของคุณ ไม่ใช่ความผิดของพ่อแม่ เลิกคร่ำครวญเกี่ยวกับสิ่งที่พลาดไปแล้ว แต่จงเรียนรู้จากมัน
  • กฎข้อที่ 7 : ก่อนที่คุณจะเกิด พ่อแม่ไม่ได้น่าเบื่อเหมือนที่คุณรู้สึกตอนนี้ พวกเขาต้องทำงานอย่างหนัก มาจ่ายบิลต่าง ๆ ต้องซักเสื้อผ้าให้กับคุณ พวกเขาต้องอดทนฟังคุณคุยอวดในเรื่องไม่เข้าท่า ดังนั้น ถ้าคุณคิดจะทำเรื่องใหญ่ ๆอะไรก็ตาม เช่น ช่วยอนุรักษ์ป่าฝนรุ่นบรรพบุรุาจากการถูกปรสิตทำลาย ช่วยกำจัดเห็บเหาที่มันแพร่พันธุ์ในตู้เสื้อผ้ารก ๆ ของคุณซะก่อน
  • กฎข้อที่ 8 : ชีวิตในโรงเรียนอาจตัดสินคุณว่าเป็นผู้ชนะหรือแพ้ แต่ชีวิตจริง ‘ไม่ใช่’ บางโรงเรียนสอนการเป็นผู้แพ้ด้วยซ้ำไป แถมยังให้โอกาศคุณมากมายในการทำสิ่งที่ถูกต้อง พูดง่าย ๆ ก็คือ ชีวิตในโรงเรียน ไม่เหมือนชีวิตจริงหรอก
  • กฎข้อที่ 9 : ชีวิต ไม่ได้แบ่งเป็นเทอมๆ ไม่มีช่วงซัมเมอร์ให้คุณไปค้นหาตัวตน
  • กฎข้อที่ 10 : สิ่งที่เกิดขึ้นในโทรทัศน์ ไม่ใช่ชีวิตจริง เพราะในชีวิตจริง ผู้คนต้องรีบเช็คบิลจากร้านกาแฟ และตรงดิ่งไปทำงาน (เราจะเห็นว่าในละครส่วนใหญ่ คนมักออกจากที่ทำงานมาคุยกันที่ร้านกาแฟ)
  • กฎข้อที่ 11 : เป็นมิตรกับความ ‘เนิร์ด’ แล้ว ชีวิตคุณจะไม่ต้องเป็นลูกจ้างใครอีกต่อไป

... via VI Insights

Programmer vs Hacker


Saturday, September 14, 2013

Good Stories - Blind Woman & Lovely Husband


--------------------------------------------------
สละเวลาซัก 3 นาทีีได้ไหมเพื่อที่จะอ่านเรื่องนี้ให้จบ
แล้วคุณจะรู้ว่า 3 นาที ที่ได้อ่าน มันคุ้ม มาก
--------------------------------------------------
มีผู้หญิงคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุ
ทำให้ต้องตาบอดทั้งสองข้าง
และเธอก็ทุกข์ทรมานกับการสูญเสียการมองเห็น
แต่สามีเธอก็พยายาม ปลอบใจ และให้กำลังใจเธอตลอด
พยายามสอนให้เธอใช้ประสาทสัมผัสให้มากขึ้น
--------------------------------------------------
ที่ทำงานของเธอกับสามีอยู่คนละทาง
แต่เขาก็ขับรถไปส่ง และไปรับอยู่เสมอ
จนวันหนึ่งสามีเธอรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมาก
เขาจึงพูดกับเธอว่าให้เธอลองพยายามขึ้นรถเมล์ไปทำงานเอง
โดยที่เขาไม่ต้องไปรับไปส่งได้ใหม
--------------------------------------------------
นาทีนั้น ...
เธอรู้สึกเหมือนโดดเดี่ยว และน้อยใจสามีเธอ
แต่เธอก็พยายามทำตามที่เขาขอ
เธอพยายามขึ้นรถเมล์เอง พยายามไปทำงานด้วยตัวเอง
จนในที่สุดเธอก็สามารถทำได้
--------------------------------------------------
วันหนึ่งก่อนที่เธอจะลงรถไปทำงานตามปกติ
คนขับรถเมล์ก็เข้ามาจับแขนเธอและพูดกับเธอว่า
ผมช่างอิจฉาคุณผู้หญิงจริงๆครับ
เธอก็เลยถามว่า อิจฉาเธอเรื่องอะไร
คนขับรถเมล์ก็เลยบอกว่า ...
--------------------------------------------------
สามเดือนที่ผ่านมา
ผมจะเห็นสุภาพบุรุษคนหนึ่งเขาจะขึ้นรถเมล์ตอนเช้า
มานั่งตรงเบาะหลังคุณ เฝ้ามองดูคุณด้วยความห่วงใย
และตามคุณลงรถไป
และเฝ้าดูคุณเดินเข้าไปที่ทำงานอย่างห่วงใย
และตอนเย็นทุกๆเย็นเขาก็จะมาเฝ้ารอดูคุณขึ้นรถ
และคอยดูคุณจนคุณลงรถ
--------------------------------------------------
พอเธอได้ยินดังนั้น ...
เธอก็นำตาไหลด้วยความตื้นตัน ... และสำนึกผิด ...
เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยทิ้งเธอไปไหน
เขายังอยู่ดูแลเธออย่างใกล้ชิด
เขาเหนื่อยยิ่งกว่าตอนที่เขาต้องคอยมารับมาส่งเธอซะอีก
--------------------------------------------------
เธอหวนนึกถึงคำพูด เขา ที่บ่นลอยๆ ออกมา บ่อยๆ ว่า
ชีวิตคนไม่แน่นอน อาจตายวันนี้ พรุ่งนี้ ได้ทุกเมื่อเลยนะ..
ดูอย่างคุณสิ ... เมื่อวานยัง มองเห็น วันนี้ คุณมองไม่เห็นแล้ว ...
เธอ คิดน้อยใจเขา มาตลอด 3 เดือน ที่คิดว่า เขา เบื่อ
รำคาญ การเป็น คนตาบอดของเธอ ...
--------------------------------------------------
ณ วันนี้เธอรู้แล้วว่า ... เขากลัวว่า วันนี้ พรุ่งนี้เขาจะตายไป ...
แล้ว เธอ จะไม่สามารถ ไปไหนมาไหน หรือ มีชีวิตอยู่ เองได้ ถ้าขาดเขา ...
--------------------------------------------------
ช่วยแชร์ให้คนที่คุณรักเขาได้อ่านเหมือนคุณ นะ
--------------------------------------------------

... ที่มา : Forward Mail

นิพพานนั้นอยู่ที่ตายเสียก่อนตาย


หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ : Buddhadasa Indapanno Archives

ตอนที่ 1 "งามอยู่ที่ผี"

ท่านทั้งหลายลองคิดว่าปู่ย่าตายาย พูดผิดหรือพูดถูก พูดไปอย่างไม่รู้หรือว่าพูดอย่างรู้ แล้วเป็นคำที่มีใจความกว้างขวาง ครอบงำคำสอนทั้งหมดได้หรือไม่

เรามาพิจารณาดูความหมายของคำสี่คำนี้กันดีกว่า เพื่อจะได้รู้จักตายายของตัวเองดีขึ้น

ข้อที่ตายายว่างามอยู่ที่ผีนั้นหมายความว่า ลูกหลานสมัยนี้มันงามอยู่ที่แต่งเนื้อแต่งตัว เอาสิ่งต่างๆ มาลูบไล้ฉาบทา ดัดแปลงปรับปรุงแก้ไขเนื้อหนัง ให้มีความงามแล้วก็หลงใหลกันว่างาม ส่วนตายายนั้นบอกว่างามอยู่ที่ซากผี ให้ลองไปคิดดูว่าของใครจะถูกของใครจะจริงกว่ากัน

ไอ้เรื่องงามอยู่ที่การประดับตกแต่งนี้มันมีความหมายอย่างไร ทุกคนก็พอจะมองเห็นได้ว่า มันตกเป็นบ่าวเป็นทาส เป็นขี้ข้าของกิเลสตัณหา มันจึงจะเห็นว่างามอยู่ที่ประดับตกแต่ง ถ้าจิตใจไม่เป็นทาส เป็นบ่าวของกิเลสตัณหาแล้ว มันจะไม่มัวเหน็ดมัวเหนื่อยอยู่ด้วยการประดับตกแต่ง จะไม่สิ้นไม่เปลืองอยู่ด้วยการประดับตกแต่ง เพราะมันเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งนั้น มันเป็นเรื่องมายา หลอกตนเองด้วย หลอกคนอื่นด้วยให้เห็นว่างาม ก็เลยหยุดกัน ไม่ไปหลงงามที่เรื่องมายาอย่างนั้น

ทีนี้มาดูว่างามที่ซากผีนั้นมันงามอย่างไร ข้อนี้มันจะเห็นได้แต่คนที่มีจิตใจสูง สูงกว่าที่จะไปคิดไปเห็นไปคิดผิดๆ...

ถ้ามีสติปัญญาถูกต้องอยู่กับเนื้อกับตัว มองดูที่ซากผีแล้ว ก็จะเห็นอะไรต่างๆ มากมายที่เป็นประโยชน์ ที่เป็นเครื่องเกื้อกูล ไม่ให้โง่ ไม่ให้หลง แต่กลับจะชักจูงไปในทางที่จะประพฤติถูก ประพฤติดีและประพฤติอย่างสูงคือปล่อยวาง ประพฤติไปในทางที่จะกำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลงเสีย

อย่างถ้าจะมองดูที่โครงกระดูกที่แขวนอยู่ข้างหน้าเรานี้ใครจะมองเห็นว่างามบ้าง เว้นไว้เสียแต่คนบางคนจะมองเห็นว่า มันแสดงให้เห็นความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และช่วยให้จิตใจสงบเย็นลงไปทันที มันเป็นมิตรสหายแก่เรา มันแสดงสิ่งที่มีประโยชน์แก่เรา หรือว่ามันแสดงของจริงอยู่ที่นั่น แสดงความจริงอยู่ที่นั่น คือที่ซากผีนั่นแสดงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่เต็มตัว แสดงความจริงบางอย่างบางประการอยู่เต็มตัว ยิ่งมองยิ่งเห็น ยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกว่างดงาม คือทำให้ว่างจากของสกปรกคือ ความโลภ ความโกรธ ความหลงนั่นเอง ของสกปรกอย่างยิ่งนั้นคือกิเลส คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง

ถ้าเป็นคนรักที่จะเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รักที่จะมีจิตใจสงบแล้ว เห็นซากผีย่อมจับตาและจับใจยิ่งกว่าคนที่ประดับตกแต่งสวยสดงดงามตามภาษามายาหลอกลวง ซึ่งไม่ใช่ของจริง เดี๋ยวนี้มาเห็นของจริงที่ซากผีจึงเห็นว่างามแล้วก็พอใจที่จะดู


ตอนที่ 2 "ดีอยู่ที่ละ"

ตายายท่านว่า "ดีอยู่ที่ละ" ส่วนคนสมัยนี้ว่าดีอยู่ที่ได้ ลูกหลานสมัยนี้พูดว่า "ดีอยู่ที่ได้" ได้เอามามากๆ ได้มาเท่าไรยิ่งมากยิ่งดี ส่วนตายายนั้นว่าดีอยู่ที่ละคือสละให้มันหมดไป มันเถียงกันอยู่อย่างนี้

ปู่ย่าตายายพูดไปด้วยความหมายอย่างไร เราเห็นได้ว่าท่านมีความหมายเหมือนพระพุทธเจ้า ในข้อที่กล่าวว่ายิ่งยึดมั่นถือมั่นเอาไว้เท่าไรก็ยิ่งเป็นความทุกข์มากเท่านั้น คือยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวกูของกูมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความทุกข์มากเท่านั้น เพราะนั้นละเสียแม้โดยจิตใจ ละออกไปไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกูของกูนี้ก็ยังไม่เป็นทุกข์แล้ว...

ปู่ย่าตายายอยู่ด้วยความเป็นสุขสงบ ลูกหลานก็อยู่ด้วยความเร่าร้อน เร่าร้อนมากถึงขนาดที่เรียกว่า "กลางคืนก็อัดควัน กลางวันก็เป็นไฟ" หาความสงบสุขไม่ได้ทั้งหลับและทั้งตื่น นี่การที่ลูกหลานมาพลิกไปเสียว่าได้จึงจะดี ไม่ยอมรับว่าละออกไปจึงจะดี ข้อที่ว่าได้จึงจะดีนี้มันหมายถึงได้ในทางวัตถุ เป็นเงินเป็นทอง เป็นข้าวเป็นของ เป็นเหยื่อของกิเลสตัณหาทั้งนั้น ไม่ใช่ได้มรรคผลนิพพาน เรื่องได้มรรคผลนิพพานนั้นเป็นเรื่องละ

อย่าได้เข้าใจผิดไปว่าสิ่งที่ว่าได้แล้วก็จะเป็นการดี มันไม่มีทางที่จะเป็นการดีที่ตรงไหน นอกจากจะเป็นปัญหายุ่งยากไปทั้งนั้น
แม้จะได้มาโดยสุจริต เอามายึดถือไว้ว่าเป็นตัวกูเป็นของกูอย่างนี้ มันก็เผารนหรือขบกัดบุคคลนั้นอยู่ทั้งกลางวันกลางคืนไม่มีสร่าง มันจึงไม่มีดีที่ตรงไหน

ถึงแม้ว่าได้มาเก็บรักษาไว้แต่อย่ารู้สึกว่า "ได้" ในใจต้องละออกไปจากความเป็นของตนนี้เรียกว่าละ มันจึงจะไม่เป็นทุกข์ ไม่วิตกกังวลเพราะการที่มีอะไรไว้หรือได้อะไรมา

ให้เห็นได้ว่าคำพูดของปู่ย่าตายายนี้ ในข้อที่ว่าดีที่อยู่ละนี้ไม่มีทางที่จะผิดเลย เป็นการถูกต้องโดยสมบูรณ์ ไม่มีส่วนบกพร่องอย่างใด และลูกหลานก็ยังไม่สนใจ หรือลูกหลานก็ยังไม่ยินดีที่จะประพฤติตามนี้ ก็เรียกว่าเราไม่ได้รับของดีจากตายายทั้งที่หวังจะได้ "งามอยู่ที่ซากผี" นั้นก็ไม่เอาอย่างหนึ่งแล้ว และให้ดีตรงที่ละนี้ก็ไม่เอาอีก


ตอนที่ 3 "พระอยู่ที่จริง"

พระอยู่ที่จริง ตายายหมายความว่าอย่างไร? ตายายไม่ได้พูดว่าพระอยู่ที่วัด ไม่ได้พูดว่าพระอยู่ที่โกนหัวนุ่งเหลือง หรือไม่ได้พูดว่าพระอยู่ที่ต้องทำพิธีอย่างนั้นอย่างนี้ ทำไอ้กรรมอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ว่าพระอยู่ที่จริง ตายายหมายความว่าคนที่บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง สืบอายุศาสนาจริง ครบทั้งห้าจริงนี้จึงจะเรียกว่าเป็นคนจริงและเป็นพระ

ทีนี้คนฟังบางคนอาจจะคิดว่าต้องบวชเป็นพระเป็นเณรเสมอไปจึงจะเป็นพระ ความจริงนั้นไม่เป็นอย่างนั้น ความจริงนั้นมีอยู่ว่า

"ถ้าใครเป็นคนจริงคนนั้นก็เป็นพระ"

แม้อยู่ที่บ้านที่เรือนมีครอบครัวก็เป็นพระได้ เพราะเรายอมรับกันว่าพระโสดาบันอยู่บ้านอยู่เรือนมีภรรยาสามีก็มี พระสกิทาคาอยู่บ้านอยู่เรือนมีสามีภรรยาก็มี พระอนาคามีเป็นฆราวาสอยู่บ้านไม่อยู่วัดก็ยังมี แล้วทำไมพระจะอยู่ที่บ้านไม่ได้ พระอยู่ที่บ้านได้ก็เพราะว่าที่ไหนมีเรื่องจริง พระก็มีอยู่ที่นั่น จะมีการรู้จริง ปฏิบัติจริง ดับกิเลสได้จริง เป็นผู้ดับทุกข์จริง มันก็เรียกว่าเป็นพระได้

ข้อที่ว่าบวชจริงนั้นไม่จำเป็นว่าจะต้องบวชอย่างพระอย่างเณรเสมอไป บวชอย่างชาวบ้านก็ได้ บวชอย่างชาวบ้านก็คือเป็นพุทธบริษัทที่ดี เป็นอุบาสก อุบาสิกาที่ดี เพราะคำว่าบวชนี้แปลว่า "เว้น" เท่านั้นเอง เมื่อเว้นสิ่งที่ควรเว้นได้แล้วก็เรียกว่าบวชทั้งนั้น

ฉะนั้นเราเลิกพูดเรื่องอยู่ที่บ้านหรืออยู่ที่วัดกันเสียที พูดถึงกันแต่ว่าที่ไหนมันมีการเว้นจริง ที่นั้นก็มีความจริงชนิดที่ทำให้คนเป็นพระได้ เป็นพระโสดา สกิทาคา เป็นอนาคา ก็ยังได้ถ้าให้มันจริง

เรามาสนใจที่จริงกันดีกว่า สนใจกันที่คำว่าจริงคำเดียวก็พอแล้ว ก็ทำอะไรให้มันจริง อย่าให้มันเป็นเท็จ เป็นมายา เป็นหลอกลวง ตัวเองและผู้อื่นต่อไปอีกเลย

เมื่อชั่วก็ให้มันชั่วจริงจะได้ละเสียจริงๆ ถ้าว่าดีก็ให้ดีจริงจะได้ประพฤติปฏิบัติกันให้จริงๆ อย่าเห็นว่าชั่วแล้วมันก็ยังไม่ยอมละแล้วบังคับตัวเองให้ละไม่ได้อย่างนี้มันเรียกว่าไม่จริง เช่น เล่นไพ่ก็รู้ว่าไม่ดีและไม่จริง กินสุรายาเมาก็รู้ว่าไม่ดีไม่จริง แต่แล้วก็ยังไม่ยอมละ นี้คือว่าไม่จริง ถ้าจริงมันก็ต้องละทันที แล้วมันก็มีการเว้นจริง มีผลดีจริง มีอะไรเป็นจริงขึ้นมา มันก็เป็นพระได้เหมือนกัน

อย่าว่าแต่ผู้ใหญ่เลย แม้แต่เด็กเล็กๆ ถ้ามันมีอะไรจริงก็จงยกมือไหว้มันเถิด เพราะว่ามันก็เป็นพระเหมือนกัน มันเป็นพระอยู่ที่จริง อยู่ที่ความจริงดังนี้ นี้ปู่ย่าตายายพูดถูกมากหรือถูกน้อยก็ลองคิดดูว่า พระอยู่ที่จริงนี้มันเป็นอย่างไร

ปู่ย่าตายายของเราพูดสั้นที่สุดว่าพระอยู่ที่จริง แต่ลูกหลานก็หาพระนั้นไม่พบ ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แล้วยังไปสนใจผิดพระแล้วยังไปติดต่อผิดพระ ไปทำบุญผิดพระ อย่างนี้ก็ยังมีได้ เพราะไม่นิยมนับถือว่าพระอยู่ที่จริงนั่นเอง ฉะนั้นขอให้มีหลักเกณฑ์ที่แน่วแน่กันเสียใหม่ว่าพระนั้นอยู่ที่จริง


ตอนที่ 4 "นิพพานอยู่ที่ตายก่อนตาย" (ตอนสุดท้าย)

นิพพานนั้นอยู่ที่ตายเสียก่อนตาย อย่าให้ทันเข้าโลง ข้อนี้หมายความลึกซึ้งมาก เพราะคำว่าตายคือไม่ใช่ตายทางร่างกาย แต่ว่าเป็นตายของกิเลสตัณหา เป็นตายของจิตของใจที่ยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกู-ของกู คือท่านถือกันว่าเมื่อมีความรู้สึกว่าตัวกูหรือของกูอยู่นั้นน่ะ คือ "เกิด" ขึ้นมา แต่ถ้าไม่มีความรู้สึกว่าตัวกูว่าของกูแล้วนั้นว่าคือ "ดับ" ลงไป คือตาย

เรารีบทำให้ความยึดมั่นว่า "ตัวเรา" นั่นดับไปเสียโดยสิ้นเชิง อย่าให้เกิดมาอีกได้ ก่อนแต่ที่ร่างกายจะตาย ทำได้อย่างนี้เรียกว่าตายเสียก่อนตาย ตายอย่างนี้ไม่มีตายอีกต่อไป เพราะว่าตัวกูไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว มันจึงไม่ตายอีกต่อไป มันจึงเป็นเพียงการเปลี่ยนไปของสังขารเท่านั้นเอง ก็เป็นเรื่องเปลี่ยนไปๆ ของดินน้ำลมไฟ อากาศ วิญญาณ ของธาตุ ของขันธ์ ของอายตนะ ไม่ ใช่ของกู

คนโดยมากเข้าใจว่าต้องทำอะไรหลายสิบชาติ หลายร้อยชาติ หลายพันชาติ หลายแสนชาติ จึงจะได้นิพพาน จึงมัวแต่พูดอย่างนกแก้วว่า "นิพพานะปัจจโยโหตุ นิพพานะปัจจโยโหตุ" ไม่รู้จักสิ้นจักสุด ขอจงเป็นปัจจัยแก่นิพพานอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ แล้วก็ไม่รู้นานสักเท่าไหร่

คำว่าชาติของพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้หมายถึงการเข้าโลง แต่หมายถึงการเกิดอุปาทานว่าตัวกูของกูครั้งหนึ่งเรียกว่าชาติหนึ่ง เมื่อมีรูปเสียงกลิ่นรสเป็นต้น มากระทบตาหูเป็นต้น เกิดเป็นผัสสะ เกิดเป็นเวทนาและเกิดเป็นตัณหาอยากอย่างนั้นอย่างนี้ มีตัวกูเป็นผู้อยากขึ้นมา เรียกว่าอุปาทาน ก็เรียก ว่าเกิดครั้งหนึ่ง เรียกว่าชาติหนึ่ง แล้วมันก็เป็นทุกข์ทุกชาติ เพราะฉะนั้นวันหนึ่งมันเกิดได้หลายสิบชาติ หลายร้อยชาติ

เกิดตัวกูในความรู้สึกขึ้นมาครั้งหนึ่งเรียกว่าชาติหนึ่ง ถ้าไม่เกิดความรู้สึกอย่างนี้แม้ร่างกายจะเกิดมาจากท้องแม่มันก็เหมือนท่อนไม้อยู่นั้นเอง ถ้าจิตใจมันมีความคิดไปในทางอื่น ไม่เป็นไปในทางตัวกูของกู มันก็ไม่มีความหมายเป็นการเกิด

ดังนั้นมันจึงต้องมีหลักว่า ในร่างกายที่กำลังมีความรู้สึกว่าตัวกูเท่านั้น จึงจะเรียกว่าเป็นชาติ หรือความเกิด แม้ร่างกายที่กำลังปราศจากความรู้สึกว่าตัวกูหาได้มีชาติหรือความเกิดไม่ เช่น ในเวลาหลับเป็นต้น หรือในเวลาที่ไม่ได้คิดนึกไปในทางเป็นตัวกูของกูเป็นต้น ให้ถือว่าเป็นเพียงขันธ์ธาตุ อายตนะเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยล้วนๆ ก็แล้วกัน ไม่มีตัวกู เฉพาะเวลาที่จิตปรุงแต่ง คิดนึกเป็นตัวกูขึ้นมาอย่างนั้นเรียกว่าชาติ แล้วชาตินั้นมันอยู่กี่นาทีก็ตามใจ หรือกี่ชั่วโมงก็ตามใจ แล้วมันดับไป ก็เรียกว่าสิ้นไปชาติหนึ่ง กว่ามันจะเกิดใหม่

ชาติอย่างนี้มันมีระยะอันสั้น ทำให้เราสามารถที่จะปรับปรุงมันได้ ควบคุมมันได้ แก้ไขมันได้ เอาชนะมันได้ และสามารถทำให้มันสิ้นสุดลงได้ อย่างนี้มันได้เปรียบข้างเรา ดังนั้นเรามาเอาข้างนี้อย่างนี้กันดีกว่า ดีกว่าที่ไปเอาชาติทางวัตถุ เกิดมาจากท้องโดยร่างกายแล้วอยู่ไปจนเข้าโลงอย่างนี้มันเป็นสิ่งที่ตายตัว ทำอะไรไม่ได้

ความทุกข์ก็มันไม่ได้อยู่ที่นั่น ความทุกข์มันอยู่ที่ยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกูนี้ต่างหาก แม้ร่างกายจะมีมา ถ้าไม่ยึดว่าเป็นตัวกูเป็นของกู มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร แม้ว่าความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายจะมีอยู่ แต่ถ้าไม่ได้ยึดว่าเป็นของกูมันก็ไม่เป็นทุกข์อะไร ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายที่ถูกยึดมั่นด้วยอุปาทานเท่านั้นจึงจะเป็นทุกข์ คือ ไปยึดแค่ว่าเป็นความเกิดของเรา เป็นความเจ็บของเรา เป็นความแก่ของเรา เป็นความตายของเรา มันจึงจะเป็นทุกข์ ถ้าไม่มีอุปาทานไปยึดอย่างนั้น ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายนั้นก็ไม่เป็นทุกข์ เป็นเรื่องเพียงธรรมชาติเฉยๆ ไป

คำว่าชาติเป็นอย่างนี้ เมื่อเราถือหลักอย่างนี้เราก็ควบคุมได้ คือควบคุมไม่ให้มันเกิดได้ ในเมื่อตากระทบรูป หูกระ ทบเสียง จมูกกระทบกลิ่นเป็นต้น หรือว่าเมื่อใจมันจะน้อมนึกคิดไปทางไหนก็ตาม เราก็ควบคุมมันได้ ให้เป็นไปในเรื่องของความรู้และสติปัญญาอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้เป็นไปในทางที่จะเกิดอุปาทานยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกูว่าของกูดังนี้ เราจึงหยุดความเกิดนั้นเสียได้ คือทำให้ความตายของอุปาทานนั้นสิ้นสุดลงไปได้ แล้วเราก็สามารถตายเสีย ก่อนตายเหมือนที่ปู่ย่าตายายสอนให้ แล้วเราก็ได้รับประโยชน์เต็มที่ คือ นิพพาน ไม่มีจิตใจที่มีกิเลสหรือเป็นทุกข์อีกต่อไป เพราะสามารถตายเสียก่อนตายดังนี้

- พุทธทาสภิกขุ
- ที่มา : เทศน์วันส่งตายาย พ.ศ. ๒๕๐๕
- อ้างอิงจาก : หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ : Buddhadasa Indapanno Archives

Tuesday, September 10, 2013

คำแนะนำ 9 ข้อ สำหรับนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ทั้งทางโลกและทางธรรม

  1. ต้องมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง เอกลักษณ์ไม่ได้หมายถึงพรสวรรค์ แต่หมายถึงความต่าง ที่อาจจะสร้างด้วยหยาดเหงื่อแรงกายหรือความสามารถพิเศษที่ติดมาแต่เกิดก็ได้
  2. รู้จักพอ คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ใช่ว่าจะต้องมีเงินมากกว่าคนอื่นเสมอไป ขอเพียงมีเงินเท่าที่จำเป็น รวมถึงมีสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ก็ถือว่าเพียงพอแล้วครับ
  3. มีสติอยู่เสมอ ขอให้รู้ว่า ตนเองกำลังทำอะไรอยู่ มองที่ความจริง อย่ามองที่ความโลภ คนที่ประสบความสำเร็จมักเชื่อตนเอง แต่ไม่ดื้อดึงและงมงาย ต้องอยู่บนพื้นฐานแห่งความจริง ชีวิตจึงจะดีได้
  4. ใช้ปัญญาควบคุมสติ ถ้าคุณเป็นคนมีสติ มีความนิ่งอยู่ในตัว สิ่งสุดท้ายที่คุณต้องมีคือ "กึ๋น" เรียนรู้และค้นหามันได้ด้วยประสบการณ์และความผิดพลาดที่ผ่านมา ถ้าความสำเร็จคือรางวัลของชีวิต ความผิดพลาดย่อมคือผู้สร้างรางวัลชิ้นนั้น
  5. เชื่อในสิ่งที่ตนเองคิด อย่ากลัวที่จะมีความเชื่อ แม้นว่ามันจะทำให้คุณต้องเจ็บในบางครั้ง ถ้าเรายังตอบตัวเองไม่ได้ว่าสิ่งที่เราทำถูกหรือไม่ แล้วใครจะตอบคุณได้
  6. รากฐานแห่งความสำเร็จ เริ่มจากความล้มเหลวเสมอ ชีวิตที่ดีไม่จำเป็นต้องสำเร็จทุกครั้ง ขอให้สำเร็จครั้งใหญ่แค่ครั้งเดียว ก็เพียงพอต่อชีวิตที่เหลือแล้วครับ
  7. ความขยันคือความจริงเสมอ บุคคลใดสู้ชีวิตด้วยความเพียรและสัมมนาอาชีพ บุคคลนั้นไม่มีทางที่จะตกอับในชีวิต
  8. จะเป็ดหรือหงส์ไม่สำคัญ ขอเพียงมีความศรัทธาในสิ่งที่ตนเองทำ ชีวิตย่อมมีแต่ความเจริญ
  9. ห้ามมีข้ออ้าง ผิดว่าตามผิด ถูกว่าตามถูก ผู้ที่ยอมรับความผิดพลาดของตนเอง ย่อมมีแต่ผู้สรรเสริญ
… via The Biz Story

Monday, September 9, 2013

My life in 10 years!

People with Clear & Written Goals accomplish Far More in a Shorter period of time than people without them can ever imagine.
- Anonymous 

Friday, September 6, 2013

20 Quick Tips For Better Time Management

  1. Create a daily plan
  2. Peg a time limit to each task
  3. Use a calendar
  4. Use an organizer
  5. Know your deadlines
  6. Learn to say “NO”
  7. Target to be early
  8. Time box your activities
  9. Have a clock visibly placed before you
  10. Set reminders 15 minutes before
  11. Focus
  12. Block out distractions
  13. Track your time spent
  14. Don’t fuss about unimportant details
  15. Prioritize
  16. Delegate
  17. Batch similar tasks together
  18. Eliminate your time wasters
  19. Cut off when you need to
  20. Leave buffer time in-between

… via @ LifeHack.org

50 Ways To Increase Your Productivity

  1. Take a break
  2. Set a timer
  3. Eliminate all distractions
  4. Distractions should be avoided
  5. Love what you do
  6. Complete your most dreaded tasks first thing in the morning
  7. Use JDarkRoom
  8. Just start
  9. Everyone has a certain time of the day in which they are more productive than others
  10. Keep a notebook and pen on hand at all times
  11. Write a blog to chronicle your own personal development and achievements
  12. Plan out all of your meals a week ahead and make your grocery list accordingly
  13. Step away from the computer
  14. Writer out a to-list each day
  15. Ask yourself “Am I currently making the best possible use of my time?”
  16. Get plenty of sleep
  17. Exercise
  18. Organize your coffee
  19. Outsource as much as possible
  20. Use a Tivo or DVR
  21. Turn off the TV
  22. Listen to educational audio books
  23. Auto pay your bills
  24. Read David Allen’s Getting Things Done
  25. Focus on result-oriented activities
  26. Take shorter showers
  27. Tell other people about your goals
  28. Learn to say “NO”
  29. Go on an information diet
  30. Find a mentor
  31. Write your most important tasks and to-dos on a calendar
  32. Set some exciting goals
  33. Learn keyboard shortcuts
  34. Get up early before anyone else
  35. Don’t multitask
  36. Reward yourself for finishing a big task
  37. Shop online
  38. Batch similar tasks
  39. Speed up your internet with a broadband connection
  40. Start a polyphasic sleep schedule
  41. Improve your typing speed
  42. Get rid of time wasters
  43. Protect yourself from unnecessary phone time with caller ID
  44. Work from home
  45. Many employers now offer direct deposit
  46. Prioritize your tasks
  47. Just read the parts that you need
  48. Cook your meals in bulk
  49. Learn to speed read
  50. Use Windows hibernation feature
.. via @ LifeHack.org

Wednesday, September 4, 2013

Our Life 人生吧 ชีวิตคนเรา

0歲 - 出場  ...  0 ขวบ เปิดฉากชีวิต
10歲 - 快樂成長  ...  10 ขวบ สนุกสนานเติบโต
20歲 - 為情徬惶  ...  20 ขวบ ลังเลไม่แน่
30歲 - 基本定向  ...  30 ขวบ เข็มมุ่งเห็นชัด
40歲 - 拼命打闖  ...  40 ขวบ มุ่งให้สำเร็จ
50歲 - 回頭望望  ...  50 ขวบ หันหัวมามอง
60歲 - 告老還鄉  ...  60 ขวบ แก่แล้วกลับบ้าน
70歲 - 搓搓麻將  ...  70 ขวบ นั่งเล่นหมาเจี้ยง
80歲 - 晒晒太陽  ...  80 ขวบ นั่งอาบแสงแดด
90歲 - 躺在床上  ...  90 ขวบ รับแขกบนเตียง
100歲 - 在牆上  ...  100 ขวบ แขวนบนกำแพง

所以呀  ...  ดังนั้น
該吃就吃該喝就喝  ...  อยากกินกิน อยากดื่มดื่ม
有事别往心裡擱  ...  เรื่องกลุ้มอย่าเก็บไว้
洗個澡看著錶  ...  อาบน้ำดูนาฬิกา
舒服一秒是一秒  ...  สุขสบายทุกเพลา
能牽手的時候,請别只是肩並肩!  ...  เวลาที่ยังจับมือไหว เชิญเพื่อนมาสังสรรค์
能擁抱的時候,請别只是手牽手!  ...  เวลาที่ยังกอดไหว ก็โอบกอดให้ชื่นใจ ทำหน้าที่ผัวเมียต่อไป
能在一起的時候,請别輕易就分開  ...  เวลาที่อยู่ด้วยกัน อย่าได้โกรธกันง่ายๆ
請把此訊轉傳九個好友..也包括我  ...  โปรดส่งต่อให้เพื่อนอีกเก้าคน
表示我是你的朋友!  ...  เพื่อแสดงว่าผมเป็นเพื่อนคุณ
若有三個回你..證明你的好運會在
農曆八月十五中秋節實現直到永遠!
一定要傳哦

… via Forward Mail

16 Essential Life Lessons

The most admirable attribute in a person is righteous behavior.
คุณสมบัติที่น่ายกย่องที่สุดในชีวิต คือ การมีพฤติกรรมที่ดี

The two greatest virtues in life are filial piety and loyalty to one’s homeland.
ความดีที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต คือ การกตัญญูต่อบิดา มารดา และแผ่นดินเกิด

Your greatest enemy is yourselt.
ศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในชีวิต คือ ตัวเราเอง

The biggest source of failure in life is arrogance.
ต้นเหตุของความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต คือ ความอวดดี

The most foolish act in life is the act of deceit.
การกระทำที่โง่เขลาที่สุดในชีวิต คือ การหลอกลวง

The greatest source of misery is jealousy.
ต้นเหตุของความทุกข์ที่แสนสาหัสที่สุด คือ ความอิจฉาริษยา

The gravest mistake in life is losing faith in yourself.
ความผิดพลาดที่สุดในชีวิต คือ การยอมแพ้และหมดความเชื่อมั่นในตัวเอง

The greatest harm you could inflict on yourself is self-deception.
การทำร้ายตัวเองที่รุนแรงที่สุด คือ การหลอกลวง

The most pathetic act is letting your life go on a downward spiral.
สิ่งที่น่าสังเวชที่สุด คือ การปล่อยให้ชีวิตตัวเองถดถอย

The most praiseworthy trait in a person is perseverance.
สิ่งที่น่าสรรเสริญที่สุดในชีวิต คือ ความวิริยะ อุตสาหะ

The greatest loss in life is the loss of hope.
ความล้มละลายที่สุดในชีวิต คือ ความสิ้นหวัง

The most valuable asset in life is good health.
ทรัพย์สมบัติที่มีค่าที่สุดในชีวิต คือ สุขภาพที่สมบูรณ์

The heaviest debt in life is the debt of gratitude.
หนี้ที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต คือ หนี้บุญคุณ

The greatest gift you could give to others are forgiveness and kindness.
ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต คือ การให้อภัยและความเมตตากรุณาผู้อื่น

The biggest shortcoming in life is pessimism.
ข้อบกพร่องที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิต คือ การมองโลกในแง่ร้าย

The greatest satisfaction in life comes from charity.
สิ่งที่ทำให้อิ่มอกอิ่มใจที่สุด คือ การให้ทาน

Sunday, September 1, 2013

ผู้หญิงชอบผู้ชายแบบไหน และผู้ชายแบบไหนผู้หญิงไม่ชอบ !!

พอดีไปเจอมาในเน็ตนะครับ จากหลายๆ ที่เลยล่ะ อ่านแล้วก็ขำๆ ดี (บางคนอาจจะไม่ขำนะ 555 ) เลยรวบรวมมา ... ที่ขำคือ ผู้หญิงนี่ช่างเป็นเพศที่ละเอียดอ่อน ใส่ใจในทุกรายละเอียดดีจริงๆ  อ่านแล้วทั้งขำ ทั้งเวียนหัว เยอะไปหมด เยอะจริงๆ

ก็เอาไว้อ่านเล่นๆ ละกันนะครับ อย่าไปยึดติดมาก ถ้าอันไหนคิดว่าดี ก็ลองเอาไปปรับใช้กันดู ... แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่าไปคิดมาก ขอแค่คิดดี พูดดี ทำดี เป็นตัวของตัวเอง น่ะน่าจะเพียงพอ และดีที่สุดนะครับ ... แหม่!

ลองมาดูผู้ชายแบบไหน และนิสัยแบบไหนของผู้ชายที่ผู้หญิงชอบและไม่ชอบกันบ้าง

ผู้ชายแบบนี้ผู้หญิงชอบ
  1. ผู้หญิงชอบผู้ชาย ... เท่ห์มากกว่าหล่อ บางทีหล่อแต่ดูไม่แมน ไม่เท่ห์ก็ไม่น่าสนใจนะ
  2. ผู้หญิงชอบผู้ชาย ... วางตัวดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า "เก๊ก" ถ้าจะเก๊กก็ต้องเก๊กแบบมีฟอร์มไม่มากไป
  3. ผู้หญิงชอบผู้ชาย ... แต่งตัวดี สะอาดสะอ้าน อยู่ในอุดมคติที่เค้าคิดไว้
  4. ผู้หญิงชอบผู้ชาย ... มีเสน่ห์ในข้อใดข้อหนึ่ง เช่น การแต่งตัว หน้าตารูปร่าง การยิ้ม การพูดจา หรือมีเสน่ห์กับคนรอบข้าง
  5. ผู้หญิงชอบผู้ชาย ... ที่สามารถคุ้มครองเค้าได้ ไม่ว่าหล่อหรือไม่ก็ตาม
  6. ผู้หญิงชอบผู้ชาย ... ที่เก่งในเรื่องใดเรื่องนึงที่เค้าเองก็สนใจ
  7. ผู้หญิงชอบผู้ชาย ... มีสไตล์หรือความคิดเป็นของตัวเอง ไม่เลียนแบบใคร เมื่อเป็นได้แค่ไหนก็เป็นแค่นั้น
  8. ผู้หญิงชอบผู้ชาย ... ดูดีในสายตาเพื่อน อาจไม่ใช่หน้าตา อาจเป็น นิสัยหรือ การแต่งตัว การวางตัว
  9. ผู้หญิงชอบผู้ชาย ... ตามง้อ ตามสนใจ คอยดูแล
  10. ผู้หญิงชอบผู้ชาย ... สปอร์ต แฟร์ ทุ่มเท ไม่หวังผลตอบแทนภายหลัง(สงสัยอยู่เหมือนกันนะข้อนี้  ว่ายังมีอยู่ด้วยหรอ?)
  11. ผู้หญิงชอบผู้ชาย ... คุยได้ทุกเรื่องไม่ปิดบังกัน รับฟังความเห็น เป็นที่ปรึกษาได้ในยามที่ไม่สบายใจ อบอุ่นเมื่อได้อยู่ใกล้
  12. ผู้หญิงชอบผู้ชาย ... คารมดี แต่ไม่ได้เรียกว่าปากหวาน
  13. ผู้หญิงชอบผู้ชาย ... อารมณ์ดี ขี้เล่น
  14. ผู้หญิงชอบผู้ชาย ... พูดจาดี พูดจาตลก ฮา แต่ มุข แป๊กๆ ก็ไม่ฮาอ่ะนะ
  15. ผู้หญิงชอบผู้ชาย ... เจ้าชู้เล็ก ๆ กะล่อน เจ้าเล่ห์ แต่ถ้าเอาเข้าจริงต้องเป็นคนจริงใจและจริงจัง
  16. ผู้หญิงชอบผู้ชาย ... ใจเย็น มีความคิด มีเหตุผล
  17. ผู้หญิงชอบผู้ชาย ... มีเวลาให้ และ เสมอต้นเสมอปลาย(เน้นมากเลยนะข้อนี้  55)
  18. ผู้หญิงชอบผู้ชาย ... ที่ไม่ได้ดีมากเกิน แล้วก็ไม่ได้เลวไป (ผู้หญิงบางคนก็ไม่ชอบคนดีอ่ะ!!)
  19. ผู้หญิงชอบผู้ชาย ... จริงใจทั้งต่อหน้าและลับหลัง(ข้อนี้ก็เน้น) 
  20. ผู้หญิงชอบผู้ชาย ... เป็นผู้นำได้ มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็ต้องแฝงความเป็นเด็กบ้างเช่นกัน ควรทำตัวให้ถูกเวลาด้วยนะ
  21. ผู้หญิงชอบให้ผู้ชาย ... ทำให้เค้ารู้สึกประหลาดใจ แปลกใจ (surprise) น่ะ
  22. ผู้หญิงชอบผู้ชาย ... ห่วงใย ใส่ใจดูแล คอยสนใจอยู่ทุกเวลา


10 นิสัยที่ผู้หญิงช๊อบ . . . ชอบ

  1. ชอบผู้ชายที่ให้เกียรติตนทั้งต่อหน้าและลับหลังคนอื่น (อีโก้น่ะลดๆ ลงบ้างก็ได้ ไม่ต้องกลัวชาวบ้านเค้าหาว่ากลัวเมียหรอก) 
  2. ชอบผู้ชายพูดจาไพเราะ อ่อนหวานแต่ไม่เหยาะแยะ แฝงความเข้มแข็งในน้ำเสียง (กูมึ.งไว้พูดกับเพื่อน กับแฟนไม่ต้องความจริงใจไม่ได้ใช้ภาษาสื่อสารได้อย่างเดียว)
  3. ชอบผู้ชายที่ยิ้มง่ายและมีอารมณ์ขัน (จะเก๊กไปถึงหนาย ไม่ได้หล่อขึ้นมาหรอก) 
  4. ชอบผู้ชายที่ช่างเอาใจ จำวันสำคัญๆได้บ้าง (ไม่ต้องหมดหรอก ให้ได้บ้างก็พอแล้ว เป็นบุญสุดๆ) 
  5. ชอบผู้ชายที่ดูแล้วอบอุ่น พึ่งพาได้ (จะได้รู้ว่าเวลามีแมลงสาบวิ่งมา มันจะได้ไม่โดดมาแย่งเก้าอี้แล้วกรี๊ดแข่งกับเรา) 
  6. ชอบผู้ชายที่เก่งกาจ มีความเป็นผู้นำ แต่ไม่สำคัญตัวเองและดูถูกเรา (ชั้นรู้แล้วว่าคุณเก่ง ว่าแต่เก่งพอที่จะรู้หรือเปล่าว่าเราแกล้งโง่น่ะ) 
  7. ชอบผู้ชายที่รู้จักง้อบ้าง ยิ่งเวลาตัวเองผิดด้วยเนี่ย (ขอโทษๆน่ะ พูดเป็นมั้ย) 
  8. ชอบผู้ชายที่แต่งตัวภูมิฐาน สะอาดสะอ้าน (เวลาควงด้วยจะได้รู้สึกภูมิใจ ไม่อายชาวบ้าน) 
  9. ชอบผู้ชายที่เสมอต้นเสมอปลาย แสดงออกว่ารักอย่างสม่ำเสมอ (เราหวั่นไหวง่าย ต้องย้ำกันบ่อยๆ รู้เปล่า เดี๋ยวลืม) 
  10. ชอบผู้ชายที่เวลาไปไหนมาไหนก็บอกกันบ้าง (ไม่ได้อยู่คนเดียวแล้วนะเฟ้ย…)

...

แล้วมาดูอีกว่า ......... ผู้หญิงไม่ชอบผู้ชายแบบไหน ?

ผู้ชายแบบนี้ผู้หญิงไม่ชอบ
  1. ผู้หญิงไม่ชอบผู้ชาย ... ที่ชอบแสดงความอ่อนแอมาดูแล้วไม่เข้มแข็ง เช่นร้องไห้
  2. ผู้หญิงไม่ชอบผู้ชาย ... ที่ทำตัวเป็นเด็ก งี่เง่า ง้องแง้ง ไม่มีเหตุผล อ้อนเกินไปก็ไม่ดี
  3. ผู้หญิงไม่ชอบผู้ชาย ... ที่ชอบพูดคำหวาน ๆ อยู่ ทุกวัน และทุกเวลา (มันไม่ได้ทำให้หลงหรอกแต่ว่ามันน่ารำคาญมากกว่า)
  4. ผู้หญิงไม่ชอบผู้ชาย ... ที่ไม่เป็นคำพูด ไม่รักษาสัญญา พูดแล้วทำไม่ได้ ก็อย่าพูดเลยดีกว่า
  5. ผู้หญิงไม่ชอบผู้ชาย ... ขี้โมโห เจ้าอารมณ์ จอมโวยวาย
  6. ผู้หญิงบางทีก็ไม่ชอบผู้ชาย ... ที่แคร์มากไป อะไรมากเกิน มันดูไม่สำคัญอ่ะนะ
  7. ผู้หญิงบางทีก็ไม่ชอบผู้ชาย ... ที่ชอบยกยอปอปั้นเค้ามากเกิน มันทำให้คุณไม่มีค่าเอาซะเลย
  8. ผู้หญิงบางทีก็ไม่ชอบผู้ชาย ... ให้ถามว่าคิดถึงมั้ย ? (ถ้าจะพูดเค้าคงพูดเองโดยไม่ต้องบอกหรอกนะ)
  9. ผู้หญิงบางทีก็ไม่ชอบผู้ชาย ... ให้ผู้ชายทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของมากเกิน มันรู้สึกอึดอัด
  10. ผู้หญิงบางทีก็ไม่ชอบผู้ชาย ... ให้พูดว่ารักพร่ำเพื่อ มันดูไม่มีค่า
  11. ผู้หญิงบางทีก็ไม่ชอบผู้ชาย ... ให้โรแมนติคอยู่ทุกเวลา มันจะเบื่อกันเร็วนะ หวานทั้งวัน เดี๋ยวก็เลี่ยนตาย
  12. ผู้หญิงบางทีก็ไม่ชอบผู้ชาย ... ที่ตามตื้ออยู่ทุกฝีก้าว ตอแยมากไป
  13. ผู้หญิงบางทีก็ไม่ชอบผู้ชาย ... อวดตัวเอง ขี้โม้ ทำเหมือนเก่ง ถ้าไม่เก่งจริงอย่าเบ่งดีกว่า


ผู้ชายชอบผู้หญิงแบบไหน ?


ผมเคยศึกษาลักษณะของผู้หญิงที่ผู้ชายชอบ ปรารถนาจะได้ไว้เป็นคู่รัก-คู่ครอง ว่าเขาชอบผู้หญิงแบบไหน พอจะสรุปได้ว่า...

ความชอบระดับต้น 

ผู้ชายส่วนใหญ่ชอบคล้าย ๆ กันคือ ชอบผู้หญิงสวย ซึ่งผมถือว่าเป็นความชอบระดับต้น เป็นพื้นฐานทั่วไปและก็ไม่ผิดด้วย

ความชอบระดับกลาง 

คือชอบคุณสมบัติอื่น ๆ ที่ดี ที่แฝงอยู่ในตัวผู้หญิง เช่น...
  1. ความสำรวม ผู้ชายจะชอบผู้หญิงสำรวม มีมารยาท
  2. กล้าหาญ อ่อนนอกแข็งใน ผู้หญิงที่กล้าหาญจะทำให้ผู้ชายภูมิใจและเกรงใจ
  3. อ่อนหวาน มีกิริยามารยาทดี ผู้ชายจะอยากอยู่ใกล้ อยู่แล้วสบายใจ
  4. ฉลาด มีปัญญา ผู้หญิงที่ฉลาดจะเอาตัวรอด สามารถพึ่งตัวเองได้ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม
  5. บุคลิกดี ผู้หญิงที่มีบุคลิกดี จะแลดูดีได้ยาวนานกว่าผู้หญิงสวยอย่างเดียว
  6. Commonsense ดี มีสามัญสำนึกดี รู้ว่าอะไรควรพูดหรือแสดงออก เธอจะไม่พูดทุกเรื่องที่คิด แต่จะคิดทุกเรื่องที่จะพูด
ความชอบระดับสูง 

ผู้ชายที่มีวุฒิภาวะสูงขึ้น มีวิสัยทัศน์มากขึ้น จะชอบผู้หญิงที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้เพิ่มขึ้น คือ...
  1. มีความรัก คนที่มีความรักจะมีจิตใจดี มีเมตตา กรุณาเสมอ เธอจะรักตัวเอง รักคู่ครอง รักคนอื่น รักสังคมสิ่งแวดล้อมได้ด้วย
  2. มีความสุข ใครที่อยู่ใกล้กับคนที่มีความสุขจะพลอยเป็นสุขไปด้วย เพราะคนที่มีความสุขจะมีความดี มีคุณธรรมอยู่ในใจ มีวิธีคิด วิธีพูดและแสดงออกอย่างมีความสุขและมีคุณธรรม
คนที่โชคดีมาก ๆ จะได้คนรักที่มีคุณสมบัติทั้ง 3 ระดับ แต่มักไม่ค่อยได้พบนักหรอก เพราะทุกคนมีจุดบกพร่องอยู่ในตัวเองทั้งนั้น

คุณต้องเข้าใจว่า แม้สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดก็ยังมีข้อบกพร่องได้ จงอย่าคาดหวัง หรือแสวงหาผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบทุกอย่างเลย ไม่มีหรอก

ในฐานะที่ผมเป็นคนชื่นชอบเรื่องความรักและความดี จึงอยากบอกผู้ชายทั้งหลายว่า คุณอาจไม่สามารถหาผู้หญิงที่ดีที่สุด สมบูรณ์แบบที่สุดได้ แต่คุณสามารถหาผู้หญิงที่ดีและรักคุณได้มากที่สุด ก็น่าจะพอใจแล้วนะครับ

โดย ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ (จิตแพทย์) | คอลัมน์ โลกและชีวิต, แนวหน้าออนไลน์
... via โลกทรรศนะ