Wednesday, July 24, 2013

IS TROPICAL- "Lover's Cave" (2013)


IS TROPICAL- "Lover's Cave" (2013) from Richard Kern on Vimeo.

About This Music Video
  • Music Video for the song "Lover's Cave" by Is Tropical. 
  • Director: Richard Kern
  • DP: Kevin Hayden
  • Editor: Jim Demuth
  • Producer: Pegah Farahmand
  • Shot in London in June, 2013 

Saturday, July 20, 2013

ศิลปะในการทำงานให้มีความสุข


ศิลปะในการทำงานให้มีความสุข

มีศิลปะที่อยากจะบอกกันอีกสักข้อหนึ่งว่า จงทำการงานด้วยสติปัญญา คือรู้ว่าเราเป็นมนุษย์ มีหน้าที่อย่างมนุษย์ แล้วก็ทำหน้าที่อย่างมนุษย์ แล้วก็เป็นสุข

เมื่อเราทำการงาน เรามีความรู้ถูกต้องว่าทำอย่างนี้ ทำด้วยสติทำด้วยปัญญาอย่างนี้ อย่าทำด้วยความหวังว่าเมื่อไรมันจะออกผลมา อย่าทำด้วยความอยาก คือตัณหา อยากเหมือนใจจะขาดที่จะเห็นผลงาน นี่คนบ้ามันจุดไฟขึ้นมาสุมเผาตัวเอง ความอยากนั้นเป็นไปติดต่อกันไม่ขาดตอน นี้เรียกว่าความหวัง ยิ่งหวังเท่าไรยิ่งเผาหัวใจเท่านั้น ฉะนั้นอย่าทำด้วยความอยาก อย่าทำด้วยความหวัง.

ยกตัวอย่างเหมือนกับว่า ซื้อล็อตเตอรี่มาแผ่นหนึ่งแล้วก็อย่าไปสนใจจนนอนไม่หลับว่ามันจะถูกเมื่อไร ไม่ต้องสนใจลืมเสียก็ได้ ไว้ไปตรวจดูเมื่อถึงวันฉลากมันออกก็แล้วกัน ตลอดหลายๆ วันนั้นอย่าไปหวังให้มันบ้า อย่าไปหวังให้มันเป็นคนนอนไม่หลับ หรือว่าทรมานจิตใจ การงานนี้ก็เหมือนกัน ทำนา ทำสวน ค้าขาย หรืออะไรก็ทำไปด้วยสติปัญญา ระงับความอยากความต้องการในผลงานเสีย แล้วก็ระงับความหวัง ที่เด็กๆ เขาชอบหวังกันนักเสีย สนุกเป็นสุขอยู่ในการกระทำ แล้วผลมันก็ออกมาเอง

คนโง่ก็ถามขึ้นมาว่า ถ้าอย่างนั้นเอากำลังที่ไหนมาทำงาน ถ้าไม่หวัง ถ้าไม่สอนให้อยาก ไม่สอนให้หวัง?

เราก็ตอบว่านั้นมันเรื่องของคนโง่ ต้องเอากิเลสตัณหามาเป็นกำลังใจสำหรับทำการงาน เรามันลูกศิษย์พระพุทธเจ้า เราไม่โง่ เราเอาสติ และปัญญานั่นแหละมาเป็นกำลังใจสำหรับทำการงาน พวกโน้นทำงานด้วยกำลังของกิเลส เช่นความอยากและความหวังเป็นต้น เราเป็นพุทธบริษัท ทำการงานด้วยกำลังแห่งสติปัญญา กำลังแห่งปัญญานี้ดีหรือมากกว่ากำลังแห่งความหวังหรือความอยาก ซึ่งเป็นกิเลส

มีการดำรงชีวิตอย่างถูกต้องเกี่ยวกับการงาน ก็เลยเป็นความสุขอยู่ในการงาน เป็นการศึกษาที่ทำให้ฉลาดมากขึ้น แล้วเป็นการก้าวหน้าทางจิตของวิญญาณ ในการเป็นมนุษย์ของตน เป็นอันว่าหมดปัญหาไปอันหนึ่ง เป็นการประสบผลสำเร็จด้วยความงดงามอย่างยิ่ง แล้วก็เป็นงานฝีมืออย่างยิ่ง เพราะการปฏิบัติอย่างนี้มันไม่ใช่ง่าย มันละเอียดอ่อน มันก็เป็นงานฝีมืออย่างยิ่ง ศิลปะแห่งการครองชีวิตในแง่ของการงาน

-- พุทธทาสภิกขุ

... via หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ : Buddhadasa Indapanno Archives

Thursday, July 18, 2013

ความแตกต่างหลักๆ 10 ประการ ระหว่างคนรวยกับคนชั้นกลาง

ผมได้อ่านหนังสือเล่มเล็ก ๆ เล่มหนึ่งเขียนโดย Keith Cameron Smith เรื่องความแตกต่างหลักๆ ที่โดดเด่น 10 ข้อ ระหว่างคนรวยกับคนชั้นกลาง และเห็นว่ามันมีความเป็นจริงอยู่พอสมควรจากการสังเกตของผม ดังนั้น จึงขอนำมาเผยแพร่เพื่อที่ว่าเราจะได้รู้ว่าเราอยู่ในด้านไหนของสังคมและจะต้องทำอย่างไรเพื่อที่ว่าเราจะได้ย้ายจากการมีแนวโน้มที่จะเป็นคนชั้นกลางสู่การเป็นคนรวย

1. เศรษฐีนั้นคิดยาว แต่คนชั้นกลางคิดสั้น 
ว่าที่จริงคนที่คิดสั้นที่สุดก็คือคนจน พวกเขามักจะคิดอะไรแบบวันต่อวันทำนองหาเช้ากินค่ำ คนชั้นกลางนั้นมักจะคิดเป็นเดือนต่อเดือน นั่นคือคิดถึงวันเงินเดือนออก แต่คนรวยจะต้องคิดยาวเป็นปีๆ หรือเป็นสิบๆ ปี ในใจของคนจนนั้น เขามักคิดแต่เฉพาะเรื่องของความอยู่รอดเป็นหลัก ในขณะที่คนชั้นกลางคิดถึงเรื่องความสุขสบายจากการจับจ่ายใช้สอยสินค้า ส่วนคนรวยนั้น เป้าหมายของพวกเขาชัดเจน เขาต้องการความเป็นอิสระทางการเงิน การคิดยาวนั้นมีพลังมหาศาล เพราะมันจะทำให้เขาอดออมและลงทุนระยะยาวซึ่งจะทำให้เงินงอกเงยแบบทบต้นเป็นเวลานาน และนี่คือสูตรสำคัญที่สุดในการที่จะทำให้คนมั่งคั่ง

2. คนรวยพูดเกี่ยวกับเรื่องไอเดีย คนชั้นกลางพูดเกี่ยวกับสิ่งของ และคนจนพูดถึงเรื่องของคนอื่น 
นี่คงไม่ได้หมายถึงว่าคนรวยไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องของสิ่งของหรือคนอื่น แต่หมายถึงว่าคนรวยจะพูดถึงเรื่องของคนอื่นน้อยกว่าคนจนและมักจะเป็นคนที่มีแนวความคิดดีๆ หรือมีมุมมองต่างๆ มากกว่าคนชั้นกลางและคนจน เบื้องหลังของนิสัยในเรื่องนี้คงอยู่ที่ว่า คนรวยนั้นมักจะมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าคนจนซึ่งมักจะชอบ “ซุบซิบนินทา” เป็นนิจสิน ในขณะที่คนชั้นกลางอาจจะเน้นการทำงานประจำ ชอบพูดถึงเรื่องรถยนต์ ดนตรี การพักผ่อนหย่อนใจ เป็นต้น

3. คนรวยยอมรับการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางต่อต้านการเปลี่ยนแปลง
คนชั้นกลางรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงจะคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ที่ตนเองเคยชิน ในขณะที่คนรวยนั้นคิดว่าการเปลี่ยนแปลงอาจนำมาซึ่งชีวิตที่ดีกว่า เขาคิดว่าในการเปลี่ยนแปลงนั้นมักมีโอกาสที่เขาอาจจะฉกฉวยได้ เบื้องหลังนิสัยนี้อาจจะมาจากการที่คนรวยมีความมั่นใจสูงกว่าคนชั้นกลางที่มักจะกลัวว่าตนเองจะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งใหม่ๆได้

4. คนรวยกล้ารับความเสี่ยงที่ได้มีการพิจารณาและไตร่ตรองดีแล้ว คนชั้นกลางกลัวที่จะรับความเสี่ยง
นี่เป็นนิสัยที่เป็นจุดอ่อนมากที่สุดของคนชั้นกลางในความเห็นของผม คนที่ไม่ยอมรับความเสี่ยงเลยนั้นจะพลาดที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีโดยสิ้นเชิง ในขณะที่คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่างที่ได้มีการศึกษามาเป็นอย่างดีจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้โดยที่ความเสี่ยงจริงๆ นั้นจะมีน้อยมาก ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุด ก็คือ คนชั้นกลางส่วนใหญ่นั้นมักจะกลัวการลงทุนในหุ้นหรือตราสารการเงินที่มีความผันผวนของราคาโดยที่เขาไม่พยายามศึกษาว่าในระยะยาวแล้วมันอาจจะมีความคุ้มค่ากว่าการฝากเงินในธนาคารมาก ในอีกมุมหนึ่ง คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่าง “บ้าบิ่น” เช่นคนที่เล่นหุ้นวันต่อวันเองก็ไม่ใช่นิสัยของคนรวย คนรวยนั้นจะต้องรับความเสี่ยงเฉพาะที่มีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว

5. คนรวยเรียนรู้และเติบโตตลอดชีวิต คนชั้นกลางคิดว่าการเรียนรู้จบที่โรงเรียน
นิสัยการเรียนรู้ไปเรื่อยๆ นี้ ผมคิดว่าเป็นหัวใจเศรษฐีจริงๆ เพราะในความรู้สึกของผมเอง การเรียนรู้จากโรงเรียนเป็นเพียงพื้นฐานที่เรานำมาศึกษาต่อด้วยตนเองได้ และเวลาหลังจากการเรียนในโรงเรียนนั้นยาวมากเป็นหลายสิบปี ดังนั้น ความรู้ส่วนใหญ่จึงควรที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เราเรียนจบจากโรงเรียน
โดยนัยของข้อนี้ คนรวยจึงน่าจะมีนิสัยรักการอ่านหรือการหาความรู้ต่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่คนชั้นกลางนั้น พอเรียนจบก็มักจะไม่สนใจอ่านหนังสือหรือหาความรู้ใหม่ๆ และความรู้ที่ผมคิดว่าคนชั้นกลางพลาดไปเพราะไม่มีการสอนในโรงเรียนก็คือ ความรู้ทางด้านการเงินที่คนรวยมักจะศึกษาต่อเพราะเห็นถึงความสำคัญและอาจนำไปสู่ความร่ำรวยได้

6. คนรวยทำงานเพื่อหากำไร คนชั้นกลางทำงานเพื่อจะได้ค่าจ้าง
คนรวยมองว่านี่คือหนทางที่จะทำให้รวยได้มากกว่าแม้ว่าจะมีความเสี่ยง ในขณะที่คนชั้นกลางนั้นมักจะไม่กล้าเสี่ยงและอาจจะมีความคิดสร้างสรรค์น้อยกว่า จึงมุ่งไปที่การหางานที่จะมีรายได้แน่นอน แต่รายได้จากการใช้แรงงานของตนเองนั้น มีน้อยคนที่จะทำให้ตนเองรวยได้

7. คนรวยเชื่อว่าพวกเขาจะต้องใจบุญสุนทาน คนชั้นกลางคิดว่าพวกเขาไม่มีปัญญาที่จะทำบุญ
ข้อนี้ผมเองคงไม่มีคอมเม้นท์อะไร ส่วนหนึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจเนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องของแต่ละคนที่ไม่ค่อยบอกหรือรู้กันยกเว้นกรณีที่เป็นการบริจาคใหญ่ๆ อย่างกรณีของบัฟเฟตต์ หรือ บิล เกตส์

8. คนรวยมีแหล่งรายได้หลากหลาย คนชั้นกลางมีเพียงหนึ่งหรือสองแหล่ง
ข้อนี้ก็เช่นกัน ผมเองไม่แน่ใจว่าคนรวยมีรายได้จากหลายแหล่งเพราะรวยแล้วจึงไปลงทุนในทรัพย์สินหลายๆอย่าง หรือมีทรัพย์สินหลายอย่างจึงทำให้รวย แต่ที่ผมเห็นชัดเจนก็คือ คนชั้นกลางนั้น มักไม่ลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงทำให้รายได้มักจะมาจากเงินเดือนเป็นหลัก

9. คนรวยเน้นการเพิ่มขึ้นของความมั่งคั่งของตนเอง คนชั้นกลางเน้นการเพิ่มของเงินเดือน
เป้าหมายของคนรวยนั้นอยู่ที่ว่าตนเองมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนโดยมองที่ภาพรวม ดังนั้น ถ้าเขามีหุ้นอยู่ การที่หุ้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเขาก็มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นโดยที่เขาไม่ต้องเสียภาษี แต่คนชั้นกลางพยายามทำงานเพื่อให้มีเงินเดือนสูงขึ้นแต่เขาอาจจะลืมไปว่าเขาจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นด้วย สรุปก็คือ คนรวยเน้นการลงทุนใช้เงินทำงานแทนตนเอง คนชั้นกลางเน้นการใช้แรงงานของตนเอง

10. คนรวยชอบตั้งคำถามที่เป็นบวกและสร้างกำลังใจ
ตัวอย่างเช่น ฉันจะสร้างรายได้เป็นเท่าตัวในปีนี้ได้อย่างไร? ในขณะที่คนชั้นกลางชอบตั้งคำถามที่เป็นลบและเสียกำลังใจ เช่น จะหาเงินมาจ่ายหนี้ค่าบัตรเครดิตเดือนนี้ได้อย่างไร?
และนั่นก็คือ ความแตกต่าง 10 ข้อระหว่างคนรวยกับคนชั้นกลางที่มีคนตั้งข้อสังเกตไว้ ซึ่งผมเชื่อว่าส่วนใหญ่น่าจะเป็นจริง แน่นอน คนรวยบางคนก็มีคุณสมบัติที่เป็นแบบคนชั้นกลางและคนชั้นกลางจำนวนมากก็มีนิสัยแบบคนรวย แต่ถ้าเราอยากรวย ผมคิดว่า การยึดนิสัยแบบคนรวยน่าจะทำให้เรามีโอกาสมากกว่า

... Source: Forward Mail

Tuesday, July 16, 2013

The Future Determines The Present

According to the Quantum Mechanical experiments, 
the Future determines the Present !
จากการทดลองทางกลศาสตร์ควอนตัม, 
พบว่า อนาคต เป็นตัวกำหนด และส่งผลต่อ ปัจจุบัน ! 

... via 8FACT

Monday, July 15, 2013

เคล็ดลับแห่งความสำเร็จ [นิทานเซ็น]

เหล่าลูกศิษย์ถามพระอาจารย์ว่า
“ทำอย่างไรถึงจะประสบความสำเร็จ” 
อาจารย์จึงพูดว่า
“วันนี้พวกเราจะเรียนเรื่องธรรมดาๆและง่ายที่สุด ให้ทุกคนแกว่งแขนไปข้างหน้าให้สุด แล้วแกว่งไปข้างหลังให้สุดเช่นกัน"
พระอาจารย์สาธิตให้ดู พร้อมกับกำชับว่า
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้แกว่งแขนวันละ 300 ครั้ง ทุกคนทำได้หรือเปล่า ?”
เหล่าลูกศิษย์รู้สึกสงสัยจึงถามว่า
“ทำไมต้องทำเรื่องอย่างนี้” 
พระอาจารย์ตอบว่า
“หลังจากทำเรื่องนี้แล้ว ผ่านไปหนึ่งปี พวกเจ้าจะรู้ว่า ทำอย่างไรจึงจะประสบผลสำเร็จ” 
เหล่าลูกศิษย์คิดในใจว่า
“เรื่องง่ายๆอย่างนี้ ทำไมถึงจะทำไม่ได้”
หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน พระอาจารย์ถามเหล่าลูกศิษย์ว่า
“เรื่องที่อาจารย์สั่งให้ทำ มีใครยังทำอยู่หรือเปล่า?" 
ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ยังตอบอย่างมั่นคงว่า ยังทำอยู่ พระอาจารย์รู้สึกพอใจ พยักหน้าบอกว่า
“ดีๆ”
และเมื่อผ่านไปอีกหนึ่งเดือน พระอาจารย์ก็ถามอีกว่า
“ตอนนี้ใครยังทำอยู่อีก” 
ที่สุดก็เหลือเพียงครึ่งเดียวที่บอกว่าทำแล้ว

หนึ่งปีผ่านไป พระอาจารย์ถามทุกคนว่า
“พวกเจ้าจงบอกซิว่า การออกกำลังกายด้วยการแกว่งแขนแบบง่ายๆ ยังมีใครยังคงทำอยู่ ?” 
ตอนนี้มีเพียงคนเดียว ที่ตอบว่ายังคงทำอยู่

พระอาจารย์จึงพูดว่า
“อาจารย์เคยบอกกับพวกเจ้าว่า เมื่อทำเรื่องนี้เสร็จ พวกเจ้าจะรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะประสบผลสำเร็จ  
ตอนนี้สิ่งที่อาจารย์อยากจะบอกพวกเจ้าคือ เรื่องที่ทำง่ายที่สุดในโลก บ่อยครั้งก็เป็นเรื่องที่ทำยากที่สุด ที่บอกว่าง่าย เพราะขอเพียงยอมทำไป ใครๆก็สามารถทำได้  
และที่บอกว่าเรื่องง่ายทำยาก ก็เพราะว่า คนที่ทำได้อย่างแท้จริง ต้องทำอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่น้อยคนจะทำได้"
หลังจากนั้น พระรูปที่กระทำต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ก็ได้เป็นเจ้าอาวาสองค์ต่อไป ในบรรดาศิษย์ทั้งหลายมีพระรูปนี้ที่ประสบความสำเร็จอยู่เพียงรูปเดียว

Sunday, July 14, 2013

My Business is to Create

I must create a system or be enslaved by another man’s.
I will not reason and compare: my business is to create.
-- William Blake 

( … via AustinKleon )

Saturday, July 13, 2013

God's 3 Answers


God's Answers To Your Prayers: 
  1. Yes
  2. Not Yet
  3. I Have Something Better In Mind

Friday, July 12, 2013

Life is like a Camera

Life is like a Camera ...
Focus on what's important.
Capture the good times.
Develop from the negatives.
And if things don't work out, Take  Another Shot.

Thursday, July 11, 2013

สุภาพบุรุษในฝัน


คำว่า ‘สุภาพบุรุษ’ มีความหมายเชิงบวกมาทุกยุคทุกสมัย และในสมัยปัจจุบันของ ‘สุภาพบุรุษจุฑาเทพ’ ก็เช่นกัน ผู้คนนึกถึงคำนี้ขึ้นมาคราใด ก็อดรู้สึกชื่นใจไม่ได้

หญิงทุกคนมีภาพในใจของ ‘สุภาพบุรุษในฝัน’ หรือ ‘ชายในสเป็ค’ ด้วยกันทั้งนั้น เพราะการคาดหวังหรือการฝันเป็นธรรมชาติของปุถุชนทุกคน โดยเฉพาะผู้หญิง

ผู้หญิงมีความเปราะบางเพราะมีจุดอ่อนสำคัญอันหนึ่งที่ธรรมชาติสร้างมา นั่นก็คือสามารถท้องได้ การท้องหมายความถึงภาระในการอุ้มท้อง ที่ทำให้ขาดโอกาสในการทำงานเลี้ยงชีพได้เต็มที่ และเมื่อคลอดแล้วก็มีภาระรับผิดชอบเลี้ยงดูลูกไปตลอดชีวิต

ด้วยความเป็นไปได้ในการต้องแบกภาระอันหนักอึ้งนี้ ผู้หญิงจึงจำเป็นต้องคาดหวัง ‘สุภาพบุรุษในฝัน’ ของเธอว่าเป็นผู้สามารถปกป้องเธอ (ผู้อ่อนแอทางร่างกายกว่าชาย) และอุ้มชูเลี้ยงดูเธอและลูกได้

ที่กล่าวมานี้คือ ลักษณะที่เกิดขึ้นทางธรรมชาติของหญิง อย่างไรก็ดี ในโลกแห่งความเป็นจริง มีผู้หญิงเป็นจำนวนมากที่ไม่หวังพึ่งพิงชายใด ไม่ว่าจะมาดูแลเธอหรืออุ้มชูดูแลลูก เธอสามารถยืนหยัดบนขาตนเองได้อย่างเป็นอิสระและกล้าหาญ

ลักษณะที่ควรเป็นของ ‘สุภาพบุรุษในฝัน’ นั้นมีดังต่อไปนี้

(1) เป็นคนมีความรับผิดชอบ ชายที่ไร้ความรับผิดชอบนั้นไม่ว่าจะร่ำรวยแค่ไหนก็ตาม หญิงพึงหลีกเลี่ยงให้ไกล ความรับผิดชอบคือ องค์ประกอบสำคัญของการเป็น ‘สุภาพบุรุษ’ สำหรับผู้หญิงและสังคมโดยส่วนรวม

ในฐานะสามีของหญิง ‘สุภาพบุรุษ’ ต้องทำหน้าที่ปกป้องดูแล เลี้ยงดูคู่ชีวิตและลูกอย่างรับผิดชอบ การเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีก็คือการเป็น ‘สุภาพบุรุษ’ ของครอบครัว

ส่วนการรับผิดชอบในฐานะสมาชิกของสังคม ได้แก่ การเป็นพลเมืองที่ดี ดำรงตนอยู่ในกรอบของกฎหมาย ทำมาหาเลี้ยงชีพโดยสุจริต เสียภาษี เห็นแก่ประโยชน์ของส่วนรวม ฯลฯ

(2) เป็นคนรักการทำงานและมีความขยันขันแข็ง ชายที่งอมืองอเท้า รักความสบาย ไม่ทำงานอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ไม่สมควรเป็น ‘สุภาพบุรุษในฝัน’ ของหญิง ไม่ว่าจะเป็น ‘สุภาพบุรุษจุฑาเทพ’ หรือ ‘ทุรบุรุษ’ ก็ตามที

ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน คนที่ทำงานมีโอกาสที่จะรับรู้และเข้าใจเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลง เพื่อการปรับปรุงตนเองมากกว่าคนที่อยู่บ้านโดยไม่ทำงาน

พ่อแม่คือครูคนแรกของลูก ครอบครัวที่มีพ่อแม่ขยันขันแข็งมักจะมีลูกในลักษณะเดียวกัน เนื่องจากลูกมักเลียนแบบการกระทำของพ่อแม่มากกว่าการฟังคำสอน ความขยันของผู้นำครอบครัว เปรียบเสมือนการตอกความเป็น ‘สุภาพบุรุษ’ ลงไปใน DNA ของลูก ๆ

(3) มีบุคลิกที่เข้มแข็งในการรักษาคุณธรรม ชายที่ประพฤติตนอย่างมีจริยธรรม และมีความสามารถในการรักษาวัตรปฏิบัตินี้ คือ ‘สุภาพบุรุษ’

การดำรงตนอย่างมีคุณธรรมจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้สามารถดำเนินชีวิตอย่างสงบและเป็นสุข ครอบครัวที่มีผู้นำเยี่ยง ‘สุภาพบุรุษ’ เช่นนี้ จะสร้างความสุขและความมั่นคงให้แก่หญิงและลูกที่จะเกิดตามมา

ผู้หญิงหลายคนก็ย่อมมีความฝันที่แตกต่างกัน มี ‘สุภาพบุรุษในฝัน’ ที่แตกต่างกันเป็นธรรมดา ข้อเสนอ ‘สุภาพบุรุษในฝัน’ ข้างต้นมาจากข้อสังเกตและประสบการณ์ในชีวิต ถ้าพิจารณาให้ดีจะเห็นว่า ทั้งสามข้อนี้ล้วนอยู่ในตัวของ ‘คุณชายพุฒิภัทร’ และ ‘คุณชายรัชชานนท์’

ถ้าไม่มีคุณลักษณะนี้ คนดูเพศหญิงคงไม่คลั่งไคล้ดังที่เป็นอยู่แน่นอน

โดย อ.วรากรณ์ สามโกเศศ
ตีพิมพ์ใน all Magazine, 3 มิถุนายน 2556

Silent & Humble

Coins always make sounds ...
But paper moneys are always silent.
So when your value increases.
Keep yourself Silent and Humble.

Wednesday, July 10, 2013

2 Things for Successful Life

  1. The way you Manage when you have Nothing.
  2. The way you Behave when you have Everything.

Tuesday, July 9, 2013

Ordinary Man But Big Dreams

ไม่มีคนที่ยิ่งใหญ่หรอก 
มีแต่คนธรรมดาที่ฝันถึงสิ่งยิ่งใหญ่ 
และไม่หยุดจนกว่าจะได้มันมา  
– บัณฑิต อึ้งรังษี

The Basic of Financial Freedom


พื้นฐานของอิสรภาพทางการเงิน และสุขภาพทางการเงินที่ดี 

วันนี้คุณมีครบทั้ง 6 ข้อหรือยัง ?
  1. สถาพคล่องดี
  2. ปลอดหนี้จน
  3. พร้อมชนความเสี่ยง
  4. มีเสบียงสำรอง
  5. สอดคล้องเกณฑ์ภาษี
  6. บั้นปลายมีทุนเกษียณ
… via Money Fitness / Money Coach

Monday, July 8, 2013

รำลึก 20 ปี มรณกาล ท่านพุทธทาสภิกขุ


8 กรกฎาคม 2536 ท่านพุทธทาสภิกขุ (2449-2536) มรณภาพอย่างสงบที่สวนโมกขพลาราม วัดธารน้ำไหล อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี

ขอนำเหตุการณ์ในวันแห่งลมหายใจช่วงสุดท้ายของท่านพุทธทาส ซึ่งถ่ายทอดโดย “พระอาจารย์สิงห์ทอง เขมิโย” (พระอุปัฏฐาก หรือพระผู้คอยดูแลรับใช้ท่านมากว่าสิบปี ตั้งแต่ท่านยังสุขภาพดี กระทั่งอาพาธด้วยโรคตามอายุขัย) ... มาแบ่งปันเป็นธรรมทาน

::::::::::::::::::

“เราจะตายแล้วโว้ย!!”

ในโลกแห่งธรรม คำสอนของท่านพุทธทาสยังคงเคลื่อนไหวอยู่เสมอ... ทุกขณะจิต แม้ในวาระสุดท้ายของชีวิต ท่านก็ยังคงใช้ร่างกายและจิตใจของตน พิจารณาสังขาร เป็นแบบอย่างให้คนบนโลกนี้ได้เดินรอยตาม

“ด้วยพระเดชพระคุณของหลวงพ่อ ตื่นมาตอนตีสี่ ปลุกเราบอก “ทอง ตื่น ๆๆ เราจะตายแล้วโว้ย” เรายังนอนไม่ตื่น เอามือลูบที่ตา มองไปแล้วเห็นท่านนั่งเขียนหนังสืออยู่ เราก็คิดในใจ จะตายก็สมควรตาย ถ้ายังเขียนหนังสือได้แบบนี้ (หัวเราะ) เราก็คิดแบบคนซื่อน่ะนะ

ท่านบอกให้ไปตามคนที่ดูเรื่องพิมพ์หนังสือมาให้ท่าน ท่านบอกว่า “ไม่ไหวแล้วโว้ย เอามันไม่อยู่แล้ว”
แสดงว่าท่านดูร่างกายและจิตใจตัวเองไปทุกขณะ รู้ตัวมีสติตลอด เรื่องกายและลมหายใจที่ท่านสอนมา ท่านเอามาใช้แม้กระทั่งลมหายใจสุดท้าย”

::::::::::::::::::

ตอนที่ท่านป่วยหนัก เรื่องได้ยินถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงส่งหมอหลวงมานิมนต์ให้ไปรักษาตัว

“มาถึงก็รายงานตัวเลยว่าเป็นหมอ เป็นตัวแทนในหลวงมานิมนต์ เป็นคนทั่วไปจะตอบว่าอะไร คงรีบไปเลย ดีใจมาก

แต่ท่านตอบว่า “เราไม่หอบสังขารหนีความตายโว้ย ไปบอกในหลวงท่านด้วย” แล้วหมอเขาจะกล้าไปรายงานแบบนี้ไหม (หัวเราะ)

นี่คือความเด็ดขาดของท่าน พอถึงเวลาที่รู้ว่าสู้กับมันไม่ไหวแล้ว ท่านก็พิจารณามันไปเรื่อย ๆ และปล่อยวางไปตามอาการ”

ด้วยโรคที่รุมเร้ามากมาย ในหลวงท่านจึงทรงส่งหมอมาดูแล

“ท่านป่วยเป็นความดันโลหิตสูง โรคอ้วน โรคเก๊า เป็นสารพัดโรค กินยาวันละเป็นกำๆ ตอนนั้นก็อายุ 80 กว่าแล้ว แต่ท่านไม่เคยมีปัญหาเรื่องอารมณ์ ไม่เคยหงุดหงิดเลย เพราะถ้าเป็นแบบนั้น คงจะไม่เป็นพุทธทาส ถ้าคุณทำได้แบบท่าน คุณรวยอารมณ์แน่นอน”

::::::::::::::::::

“ท่านเป็นโรคเก๊า ปวดจนลุกไม่ขึ้น ก็แค่เอายาลดกรดเล็ก ๆ เข้าไปในปาก แล้วบอกว่าไปตามคนทำหนังสือมา มาทำหนังสือกัน ถ้าเป็นเรา เราจะมีใจทำไหม ปวดเก๊าแบบนี้

แต่ท่านรู้ทันไง ท่านก็ปล่อยให้ร่างกายเจ็บปวดไป ส่วนท่านก็เอาจิตไปเพ่งไว้ที่การเขียนหนังสือ ไม่เดือดร้อนกับมัน

ในเมื่อเอามันไม่อยู่ ห้ามมันไม่ได้ ก็ปล่อยมันไป ให้พิจารณาหนังสือ พร้อมกับปล่อยให้มันปวดไป เดี๋ยวความปวดมันก็หายไปพร้อมๆ กับหนังสือเสร็จตอนเย็นนั่นแหละ

เวลานัดใคร เขาจะมาไม่มาก็ช่าง นายกฯ จะมาเยี่ยมก็ช่างเขา ไม่ไปนั่งกังวล ท่านก็นั่งเขียนหนังสือของท่านไปเรื่อย พอแขกมาท่านก็ไปต้อนรับ เสร็จท่านก็มาเขียนหนังสือต่อ

ท่านจัดสรรชีวิตของท่าน ไม่เคยปล่อยให้ขึ้นลงไปตามอารมณ์ แต่คนทั่วไป ไม่เคยจัดสรร เพราะมัวแต่ไปนอนกอดอารมณ์ ทุกข์มันก็เลยเกิด”

::::::::::::::::::

เวลาล่วงเลย จากตอนปลุกพระสิงห์ทองจนถึงหกโมงเช้า ท่านสั่งลาว่า “เธอฉันเพลแทนเราด้วยนะ” แล้วก็หยิบพวงกุญแจที่บั้นเอวออกมาและบอกว่า “เราไม่อยากตายคาพวงกุญแจ” จากนั้น ยื่นให้พระสิงห์ทอง

“ท่านจัดการทุกอย่างไว้หมดเลย แสดงว่าท่านรู้ว่ากำลังจะตาย จนประมาณ 7 โมง คนอื่นที่นั่งเฝ้าอยู่ด้วยกันก็เลยบอกว่า อย่ากวนท่านเลย ไปเถอะ หลังจากนั้น 30 นาทีให้หลัง ท่านก็ถึงเริ่มบอกว่า “ทอง ลิ้นเราแข็งแล้วนะ”

ท่านลองตามอาการไปเรื่อย ๆ นี่แหละคือธรรมะข้อสุดท้ายที่ท่านให้ไว้ ใช้สังขารของท่านสอน ให้ตามรู้ตามเห็นทุกอย่าง ท่านไม่เผลอ มองเห็นสภาวะการเปลี่ยนแปลงของร่างกายทุกขณะจริงๆ”

กระทั่งวาระปลงศพในวัย 87 “พุทธทาส อินทปัญโญ” ก็ยังได้แสดงธรรมบทสุดท้ายเอาไว้ เป็นธรรมบนกองเพลิงให้เห็นความไม่เที่ยงแท้ ทั้งยังฝากฝังแนวคิดสำคัญ เตือนใจพุทธศาสนิกชนทุกผู้ทุกนามเอาไว้ว่า

“โลงศพของอาตมา ก็คือ ความดีที่ทำไว้ในโลก ด้วยการเผยแผ่พระธรรม, ป่าช้าสำหรับอาตมา ก็คือ บรรดาประโยชน์และคุณทั้งหลาย ที่ทำไว้ในโลกเพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์”

::::::::::::::::::

-- เมื่อกิเลสยึดครองโลก --
เมื่อกิเลส ไหลนอง ยึดครองโลก
มันสุดแสน โสโครก ที่โกรกไหล
เมื่อกระแส ไฟตัณหา ไหม้พาไป
ทิ้งซากไว้ ระเกะระกะ อนิจจัง 
กลับยกย่อง ว่านั้นสิ่ง ศิวิไลซ์
ยั่วความใคร่ เพิ่มเหยื่อ แก่เนื้อหนัง
เป็นเครื่องล่อ กามา บ้าติดตัง
ทั่วโลกคลั่ง ก็ยิ่งคล้าย อบายภพ  
ทั้งแก่เฒ่า สาวหนุ่ม ล้วนจนกาม
เกลียดศีลธรรม เห็นเป็นหนาม ระคายขบ
อาชญากรรม ลุกลาม สงครามครบ
ร้อนตลบ โลกกิเลส สังเวชจริง ฯ
:::::::::::::::::::

... Credit : สกู๊ป 'ตามรอย “พุทธทาส” ในมุมที่คุณอาจไม่เคยรู้!' | Live-Lite | manager.co.th
... via Life 101 – Fan Page

Which Step Have You Reached Today?


Which Step Have You Reached Today?
  • I won't do it.
  • I can't do it.
  • I want to do it.
  • How do I do it?
  • I'll try to do it.
  • I can do it.
  • I will do it.
  • Yes, I did it!

Sunday, July 7, 2013

What I gained & What I lost

Buddha was asked,
"What have you gained from Meditation ?"
He replied,
"Nothing !"
However, Buddha said,
"Let me tell you what I lost : Anger, Anxiety, Depression, Insecurity, Fear of Old, Age and Death."

Saturday, July 6, 2013

If you’re not on the right path, get off it.


Don't settle.
Don't finish crappy books.
If you don't like the menu, leave the restaurant.
If you're not on the right path, get off it. 

- Chris Brogan

... via ReciteThis.com

Friday, July 5, 2013

Storyteller is the most powerful person in the world!

I worked at NeXT the summer of 94. I was in the break room with 2 colleagues when Jobs walked in and started making a bagel. We were sitting at a table eating ours when he out of the blue asked us

"Who is the most powerful person in the world?"

I said Mandela since I had just been there as an international observer for the elections. In his confident fashion he stated

"NO!...you are all wrong...the most powerful person in the world is the story teller."

At this point I was thinking to myself

"Steve, I love you but there is a fine line between genius and loco..and I think I am witnessing this right now".

Steve continued,

"The storyteller sets the vision, values and agenda of an entire generation that is to come and Disney has a monopoly on the storyteller business. You know what? I am tired of that bullshit, I am going to be the next storyteller"

and he walked out with his bagel.

 

… via Tomas Higbey @ Quora 

… Read More about Steve Jobs: What are the best stories about people randomly meeting Steve Jobs? @ http://buff.ly/17WXTnf

Thursday, July 4, 2013

The Success Path


What most people think ... 
What successful people know ... 
About the Success Path ... Win & Fail !

... via +Douglas Karr

Wednesday, July 3, 2013

10 Rules For Being Human

  1. You will receive a body. You may like it or hate it, but it's yours to keep for the entire period.
  2. You will learn lessons. You are enrolled in a full-time informal school called, "Life."
  3. There are no mistakes, only lessons. Growth is a process of trial, error, and experimentation. The "failed" experiments are as much a part of the process as the experiments that ultimately "work."
  4. Lessons are repeated until they are leaned. A lesson will be presented to you in various forms until you have learned it. When you have learned it. you can go on to the next lesson.
  5. Learning lessons does not end. There's no part of life that doesn't contain its lessons. if you're alive, that means there are still lessons to be learned.
  6. "There" is no better a place than "here." When your "there" has become a "here", you will simply obtain another "there" that will again look better than "here."
  7. Other people are merely mirrors of you. You cannot love or hate something about another person unless it reflects to you something you love or hate about yourself.
  8. What you make of your life is up to you. You have all the tools and resources you need. What you do with them is up to you. The choice is yours.
  9. Your answers lie within you. The answers to life's questions lie within you. All you need to do is look, listen, and trust.
  10. You will forget all this.
... by Cherie Carter-Scott.

Tuesday, July 2, 2013